bookmark_borderไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ 2019

เรื่องราวเกี่ยวกับ ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ 2019

ตอนนี้ประเทศไทยของเรานอกจากเรื่องค่าฝุ่น PM 2.5 ที่ทำลายสุขภาพของเราแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่น่ากลัวนั่นก็คือเรื่องของเชื้อไวรัสโคโรน่า ที่กำลังคร่าชีวิตทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ไวรัสโคโรน่าหรือไวรัสอู่ฮั่น เป็นเชื้อโรคที่ระบาด จากเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย  ประเทศจีน จริงๆแล้วเชื้อไวรัสชนิดนี้เราตรวจเจอพบว่ามันอยู่ในสัตว์จำพวกค้างคาวที่อยู่ในป่า หลายคนสงสัยแล้วมันมาสู่คนได้อย่างไร จากการถอดรหัสพันธุกรรมในงูที่กินค้างคาวเข้าไป ทำให้เรารู้ว่า งูเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่พอกินค้างคาวที่มีเชื้อไวรัสโคโรน่าเข้าไป

เชื้อไวรัสจะไปทำปฏิกิริยากับเลือดของงูและพัฒนาตัวเองจนกลายพันธุ์เป็นเชื้อโรคใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม เมื่อคนเรากินงูที่มีเชื้อเข้าไปจึงทำให้ติดเชื้อโรคนั้นขึ้น สำรวจแหล่งแพร่เชื้อโรคที่ตลาดขายของทะเลและสัตว์แปลกอู่ฮั่นพบว่ากลุ่มที่ติดเชื้อกลุ่มแรกๆคือคนงานและลูกค้าที่ซื้อสัตว์เหล่านั้นไปกิน 

ความน่ากลัวของโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019

ก็คือสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้อย่างรวดเร็ว โดยผ่านทางการสัมผัสน้ำมูก , น้ำลาย , เสมะของผู้ป่วย หรือแม้กระทั่งทางอากาศ ถ้าอากาศมีเชื้อไวรัสโคโรน่าอยู่จากคนป่วยที่ไอและจามออกมา แล้วบังเอิญเราหายใจเข้าไปเราก็สามารถติดเชื้อโรคไวรัสโคโรน่าได้เช่นกัน

อาการของผู้ที่ติดเชื้อ  หลังจากรับเชื้อโรคไปแล้วจะใช้เวลาบ่มเพาะในร่างกายคนเราประมาณ 2 สัปดาห์ ถึงเริ่มแสดงอาการออกมา เแรกๆจะมีอาการคล้ายคนเป็นหวัด คือ มีไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจติดขัด และถ้าไข้ขึ้นสูง เกินจาก 38 องศาขึ้นไป จะเกิดความรุนแรงจนลุกลาม จนปวดอักเสบ ไตวาย และเสียชีวิตลงในที่สุด แต่ในคนที่ภูมิคุ้มกันต่ำ อย่างพวกเด็กเล็ก หรือคนสูงอายุ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่เป็นโรคเบาหวาน ความดัน คนพวกนี้ส่วนใหญ่เมื่อได้รับเชื้อเข้าไป เชื้อจะลุกลามแพร่ขยายไปทำลายเนื้อเยื่อต่างอย่างรวดเร็ว ถ้ารู้ตัวช้าไปรักษาที่โรงพยาบาลไม่ทันโอกาสเสียชีวิตมีสูงมาก

วิธีป้องกันการติดเชื้อทำได้โดย ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น, รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ , นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ , ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่หรือแอลกอฮอล์ล้างมือ , กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ , ไม่กินเนื้อสัตว์ดิบ , หลีกเลี่ยงไปแห่งที่คนพลุกพล่าน , สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาออกไปที่สาธารณะ , งดการเดินทางไปประเทศที่เป็นพบผู้ติดเชื้ออยู่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะประเทศจีน ,  เมื่อรู้สึกไม่สบายติดต่อกันหลายวันอย่านิ่งนอนใจรีบไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที

 

สนับสนุนโดย ชุดตรวจ hiv

bookmark_borderโปรไบโอติกประโยชน์ดีๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

ประโยชน์ของโปรไบโอติก
อย่างที่บอกว่าประโยชน์ของโปรไบโอติกนั้นมีดีต่อสุขภาพร่างกายมากมาย ดังนั้น เราไปดูกันดีกว่าว่าโปรไบโอติกมีดีในด้านใดบ้าง

1.ช่วยป้องกันโรคลำไส้อักเสบ
หน้าที่สำคัญของโปรไบโอติก ก็คือ การเข้าไปยึดเกาะเนื้อเยื่อบนผนังลำไส้ ทำให้ลำไส้ไม่เกิดช่องว่างให้เชื้อโรคต่างๆ เข้ามาสร้างความเสียหาย

ดังนั้น หากคุณพบว่าตัวเองกำลังเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ การกินอาหารที่มีส่วนประกอบของโปรไบโอส์เข้าไป ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในเจ็บป่วยลงได้แน่นอน

2.ช่วยป้องกันร่างกายจากจุลินทรีย์ชนิดไม่ดี
ร่างกายของคนเรามีทั้งจุลินทรีย์ทั้งชนิดที่ดีและไม่ดี ซึ่งจุลิทรีย์ชนิดไม่ดีนั้น อาจจะเป็นต้นเหตุในการก่อโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใน

การกินอาหารที่มีโปรไบโอติกเข้าไป จะทำให้จุลินทรีย์ชนิดไม่ดีดังกล่าวถูกแย่งอาหาร ขาดการเจริญเติบโต และตายไปในที่สุด

3.ช่วยทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ
โปรไบโอติก ยังทำหน้าที่ในการผลิตเอนไซม์สำคัญที่ช่วยย่อยอาหาร และยังเป็นตัวช่วยย่อยให้โปรตีนมีขนาดเล็กลงด้วย

ซึ่งจะทำให้การดูดซึมอาหารในร่างกายเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ อันเนื่องมาจากขนาดที่เล็กลงของโปรตีนและไขมัน

4.ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก
โปรไบโอติกจะคอยทำหน้าที่ผลิตกรดอินทรีย์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้สมบูรณ์ และยังคอยเติมความชุ่มชื้นให้กับอุจจาระ ทำให้ไม่จับตัวเป็นก้อน และสามารถขับถ่ายออกมาได้อย่างสะดวก

ดังนั้น การกินอาหารที่มีโปรไบโอติก ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่ายหรือท้องผูก

5.ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอล
โปรไบโอติก จะทำหน้าที่เข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของคอเลสเตอรอลในส่วนบริเวณลำไส้ ด้วยการย่อยให้คอเลสเตอรอลมีขนาดเล็กลง พร้อมขับออกมาทางอุจจาระ ทำให้ไม่เกิดการสะสมตัวของคอเลสเตอรอลในเลือด

6.ป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารของทารก
นอกจากผู้ใหญ่แล้ว เด็กทารกที่ได้รับโปรไบโอติกในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ย่อมได้ประโยชน์เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเด็กทารกที่เพิ่งคลอดใหม่ๆ ที่มีภูมิต้านทานต่ำบริเวณลำไส้และกระเพาะอาหาร

ดังนั้น การได้รับสารอาหารจากนมแม่ที่มีโปรไบโอติกส์ ก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานดังกล่าวบริเวณทางเดินอาหารของทารกให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้นด้วย

7.ช่วยลดการอักเสบของผิวหนังได้
นอกจากจะดีต่อระบบอวัยวะภายในร่างกายแล้ว โปรไบโอติก ก็ยังส่งผลลัพธ์ที่ดีต่ออวัยวะภายนอกโดยเฉพาะผิวหนังที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอักเสบต่างๆ

โดยโปรไบโอติกส์จะช่วยทำหน้าที่ลดการอักเสบ สมานรอยแผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

8.เสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง
โปรไบโอติกที่เกาะยึดอยู่บริเวณผนังลำไส้ จะคอยกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใต้ชั้นผิวของผนังลำไส้อีกที ทำให้ต่อมน้ำเหลืองสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในการเติมความสมดุลของภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกาย

ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่มีเชื้อโรคเข้ามายังระบบภูมิคุ้มกัน โปรไบโอติกก็จะส่งสัญญาณไปที่ต่อมน้ำเหลือง เพื่อกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำลายเชื้อโรคดังกล่าว

9.ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งทางเดินอาหาร
โปรไบโอติกจะคอยทำหน้าที่ป้องกันการอักเสบหรือการติดเชื้อต่างๆ ของเซลล์ภายในร่างกาย โดยเฉพาะในส่วนของลำไส้และทางเดินอาหารต่างๆ ที่มีจุลินทรีย์ชนิดดีคอยดักจับ ดูแลอยู่

โดยจะเสริมสร้างให้การทำงานเป็นไปอย่างสมบูรณ์ และยังสามารถป้องกันอวัยวะต่างๆ จากจุลินทรีย์หรือเชื้อโรคชนิดไม่ดี ส่งผลให้เกิดภูมิคุ้มกันที่ดี และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารได้

10.ช่วยส่งผลให้สุขภาพจิตดีขึ้น
ผลงานวิจัยที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับผู้ที่มีอารมณ์แปรปรวนได้รายงานว่า ผู้ที่รับกินอาหารที่มีโปรไบโอติกทุกคืนติดต่อกันในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือน จะมีสุขภาพจิตและอารมณ์ที่สดใสมากขึ้น

โดยพบว่ามากกว่ากลุ่มผู้ทดลองที่ไม่ได้รับโปรไบโอติกส์ ดังนั้น จึงถือได้ว่าจุลินทรีย์ชนิดดีที่ว่านี้ นอกจากจะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติได้แล้ว ก็ยังช่วยทำให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้น ช่วยให้ห่างไกลจากโรคซึมเศร้า ความเครียดและความวิตกกังวลต่างๆ ได้อีกด้วย

จะเห็นได้ชัดว่าคุณประโยชน์รอบด้านของโปรไบโอติก เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างแท้จริง เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยเยียวยาคุณจากปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับลำไส้ได้แต่เพียงเท่านั้น

แต่ยังส่งผลให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นได้อีกด้วย เห็นแบบนี้แล้ว สายกินทั้งหลายควรหันมาใส่ใจในการเพิ่มโปรไบโอติกให้กับร่างกายอีกซะหน่อย รับรองคุณจะห่างไกลจากอาการเจ็บป่วยมากขึ้นแน่นอน