bookmark_borderเคล็ดลับป้องกันเป็นเบาหวาน

หลายคนได้เข้ามาถามเราว่าพอจะมีวิธีไหนที่จะป้องกันไม่ให้เป็นโรคเบาหวานเพราะว่าตอนที่ไปตรวจโรคประจำปีหลายคนก็เริ่มมีน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงแล้วคุณหมอก็จะบอกว่าคุณเริ่มมีน้ำตาลสูงจะเสี่ยงเป็นเบาหวานแล้ววันนี้เราเลยจัดให้เราจะมาเคล็ดลับดีๆในการป้องกันไม่ให้คุณเป็นโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเกิดจากที่ร่างกายของเราผลิตฮอร์ดมนอินซูลินได้น้อยลงหรือร่างกายของเรามีภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของเราสูงขึ้นๆจนกลายเป็นโรคเบาหวานขึ้นมานั้นเองโดยปัจจัยที่ส่งเสริมทำให้เกิดโรคเบาหวานก็มีอยู่หลายปัจจัยเลยทีเดียว

ซึ่งมีขึ้นปัจจัยที่แก้ไขได้แล้วก็มีปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้ โดยปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้ก็คือ อายุ และ กรรมพันธุ์ เมื่อเรามีอายุมากขึ้นๆตับอ่อนของเราก็จะเสื่อมถอยลงไปโอกาสที่จะทำให้เกิดโรคเบาหวานขึ้นมาก็เกิดได้ส่วนกรรมพันธุ์ใครที่มีญาติพี่น้องที่เป็นสายตรงเช่นพ่อแม่พี่น้องใครเป็นโรคเบาหวานเรามีโอกาสเป็นโรคเบาหวาน

ดังนั้นอย่าเพิ่งกังวลไปไม่ใช่ว่าพ่อแม่เป็นแล้วเราจะเป็นโรคเบาหวานร้อยเปอร์เซนแต่แค่เรามีโอกาสเป็นมากคนอื่นเท่านั้นเองเพราะฉะนั้นแล้วใครที่มีพ่อแม่เป็นเบาหวานอย่าเพิ่งไปกังวลแต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถแก้ไขได้และวันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับดีๆในการที่จะแก้ไขและก็ป้องกันไม่ให้เราเป็นโรคเบาหวาน

ข้อแรกก็คือ ลดน้ำหนัก ใครที่มีภาวะอ้วนมีน้ำหนักเกินจำเป้นที่จะต้องลดน้ำหนักลงมาเพราะว่าการที่เราอยู่ในภาวะอ้วนก็จะส่งผลทำให้ร่างกายของเรามีภาวะดื้อต่ออินซูลินมากขึ้นทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นๆจนกลายเป็นโรคเบาหวานขึ้นมานั่นเอง

เคล็ดลับป้องกันเป็นเบาหวาน เพราะฉะนั้นใครที่มีภาวะอ้วนหรือว่ามี BMI เกิน25ขึ้นไปจำเป็นจะต้องลดน้ำหนักลงมาเพื่อป้องกันไม่ให้เราเป็นโรคเยาหวานนั่นเอง

ข้อสองก็คือ ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มีผลงานวิจัยบอกว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคเบาหวานได้สำหรับใครที่ตอนนี้ยังไม่เคยออกกำลังกายเลยแนะนำว่าให้หันมาออกกำลังกายรับรองเลยสามารถถป้องกันเบาหวานได้

แนะนำว่าในแต่ละวันให้อกกกำลังกายอย่างน้อย30นาทีต่อวันแล้วก็ในหนึ่งอาทิตย์ออกกำลังกายอย่างน้อย5วันต่อสัปดาห์หรือสรุปง่ายๆแต่ละวันออกแค่30นาทีก็พอแล้วก็ในหนึ่งอาทิตย์ขอแค่เพียงห้าวันก็พอมันก็จะส่งผลทำให้ร่างกายของเรามีสุขภาพที่แข็งแรงป้องกันโรคเบาหวานได้บำรุงหัวใจทำให้เราแข็งแรงด้วยยังไงก็ลองไปทำกันดูรับรองเลยว่าสามารถป้องกันโรคเบาหวานได้

 

สนับสนุนโดย    เครื่องช่วยฟังแบบชาร์จ

bookmark_borderอาการเครียดต่างๆ ที่ทำให้ลดน้ำหนักได้ยาก

เพื่อนๆหลายคน ลดน้ำหนักและลดไขมันแบบเครียดไม่รู้ตัวเลย ที่ทำให้ลดน้ำหนักได้ยาก และการที่เพื่อนๆและสาว ๆลดน้ำหนักหรือลดไขมันแบบนี้จะทำให้การลดน้ำหนักยากกว่าเดิมอีกนะ ดังนั้นเพื่อนๆและสาวๆ ต้องไม่ลดน้ำหนักแบบเครียดๆ อีกนะ เรามาดูกันดีกว่าอะไรที่ทำให้เกิดการเครียดเพิ่มขึ้นในการลดน้ำหนักจนกลายเป็นอุปสรรคได้ 

-ชอบชั่งน้ำหนักทุกๆวัน หรือบางคนชอบชั่งทุกครั้งหลังกินอาหาร

เพื่อนๆและสาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักหรือลดไขมัน การชั่งน้ำหนักไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่การที่เพื่อนๆและสาวๆ ยิ่งชั่งบ่อยๆ และเห็นน้ำหนักตัวเองไม่เปลี่ยนแปลง หรือบางคนที่ชั่งทุกครั้งหลังกินอาหารนั้นไม่ใช้เรื่องที่ดีเพราะว่าหากเพื่อนๆและสาวๆ เห็นว่าน้ำหนักมันไม่เปลี่ยนแปลงหรือมากขึ้น จะทำให้เพื่อนๆและสาวๆ เครียดและกดดันกับน้ำหนักบนตาชั่งได้

-กินแต่ผักอย่างเดียวไม่กินอย่างอื่นเลย

เพื่อนๆและสาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักหรือลดไขมัน เลยเลือกที่จะกินผักอย่างเดียวเท่านั้นเพราเชื่อว่ากินผักจะทำให้ไม่อ้วน  เครื่องช่วยฟังคนหูหนวก    เพราะไม่มีแคลอรี่ แต่กลายเป็นว่าร่างกายเพื่อนๆและสาวๆ นั้นเกิดความเครียดจากการกินผักอย่างเดียวและทำให้ร่างกายจดจำอาหารที่มีแคลอรี่น้อย บวกกับความเครียด ทำให้ร่างกายกลัวร่างกายขาดพลังงานเข้ามา เลยทำให้ร่างกายเรานั้นเริ่มไม่ค่อยเผาผลาญไขมันละ

-ออกกำลังกายอย่างหนัก หรือ หักโหมมาก

เพื่อนๆและสาวๆ ที่อยากจะผอมหรือลดไขมันให้ได้ไว ก็เลยพยายามออกกำลังกายอย่างหนัก ออกทุกๆๆวัน และแต่ละครั้งที่ออกกำลังกายก็ออกอย่างหักโหม จนร่างกายเกิดความเพลียและอ่อนล้า และฟื้นฟูตัวเองไม่ทัน จนไม่สร้างซ่อมแซ่มส่วนที่สึกหรอได้ เพื่อนๆ อาจะจะลดน้ำหนักได้นะ แต่กลายเป็นว่ากล้ามเนื้อจะหายไป และในผลที่ตามมากจากการที่ออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงก็คือ ร่างกายจะเริ่มเผาผลาญไขมันน้อยลงเรื่อยๆและลดน้ำหนักหรือลดไขมันได้ยากขึ้นด้วยนะ 

-เครียดกับการลดไขมันจากการกดดันตัวเอง

เพื่อนๆและสาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักหรือลดไขมันได้ไวๆ นั้น จะดีมากถ้าเพื่อนๆและสาวๆ ไม่เกิดความเครียด เพราะว่าหากเพื่อนๆและสาวๆ เกิดความกดดันในการลดน้ำหนักหรือลดไขมัน และทำให้ตัวเองเครียดจากการลดน้ำหนักหรือลดไขมันแล้วละก็ ร่างกายจะเริ่มกลัวการเผาผลาญและร่างกายจะเริ่มเผาผลาญยากขึ้นเรื่อยๆ นั้นเอง ดังนั้นหากเพื่อนๆและสาวๆ อยากลดได้อย่างยาวนาน ต้องทำการลดน้ำหนักหรือลดไขมันแบบไม่เครียดและทำให้สดใส ไม่กดดันจนเกินไปนะ ไม่งั้นจะลดได้ยากละ

bookmark_borderการป้องกันกระดูกไม่ให้พรุน

1.วิธีที่หนึ่งก็คือ รับประทานอาหารที่แคลเซียมสูง ก็ตรงไปตรงมา เพราะว่าองค์ประกอบของเราส่วนใหญ่เป็นแคลเซียมนั่นเองเราจำเป็นที่จะต้องทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงๆเข้าไปเพื่อไปบบำรุงกระดูกของเรานั่นเองแล้วจะมีอาหารอะไรบ้างล่ะที่จะมีแคลเซียมสูง

ซึ่งจะเป็นพวก นม ปลาทอดตัวเล็กๆให้รับประทานเข้าไปทั้งตัวเข้าไปเลยแล้วก็พวกผักผลไม้ต่างๆที่มีแคลเซียมสูงสามารถหามารับประทานได้เพื่อบำรุงกระดูกของเรา สำหรับใครที่แพ้ นมวัว สามารถที่จะทานนมอื่นๆได้ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลืองก็ได้ นมอัลมอนด์  หรือว่า ในตอนนี้ก็จะมีพวกนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส ก็ทานได้ท้องไม่เสียแต่สำหรับใครที่ไม่ชอบรับประทานทานนมไม่ได้ทานปลาอะไรไม่ได้ก็อาจจะหาซื้อเม็ดแคลเซียมมาทานก็ได้อาจจะเป็นเม็ดฟู่หรือว่าเป็นยาเม็ดเราเอามารับประทานเสริมเข้าไปมันก็จะช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกพรุนได้

วิธีที่สองก็คือ งดบุหรี่ สุรา คาเฟอีน สำหรับเรื่องของบุหรี่แนะนำว่าให้งดเพราะว่าการสูบบุหรี่มันจะทำให้เลือดของเราเป็นกรด เมื่อเลือดขอเราเป็นกรดมันก็จะเข้าไปสหลายแคลเซียมจากกระดูกของเราออกมาเรื่อยๆนั่นเอง

ดังนั้นใครที่สูบบุหรี่จัดๆระวังเพราะว่ามันเป็นปัจจัยนึงที่จะทำให้กระดูกพรุนได้ยังไงก็ให้ท่านหลีกเลี่ยงแล้วก็ต่อมาในเรื่องของแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะเป็นสุราหรือว่าเบียร์หรือว่าไวน์ต่างๆเวลารับประทานเข้าไปแล้วก็จะทำให้ลดการดูซึมแคลเซียมในกระเพาะของเรา

การป้องกันกระดูกไม่ให้พรุน เวลาที่แคลเซียมดูดซึมได้น้อยลงันก็จะเข้าไปเสริมกระดูกของเราได้น้อยลงเช่นกันก็จะทำให้กระดูกของเราพรุนได้ง่ายเช่นกันและต่อมาสำหรับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟน้ำอัดลมเครื่องดื่มชูกำลังก็แนะนำว่าคุณอย่าไปดื่มมาก

คุณสามารถดื่มได้แต่ไม่ใช่ว่าวันนึงอาจจะดื่นกาแฟสามแก้วบบนี้มันก็เยอะเกินไปเพราะว่าพวกเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมันก็จะมีตัวฟอสเฟลที่เยอะยิ่งใครที่เป็นโรคไตด้วยแล้วเวลาที่มีฟอสเฟลเยอะๆร่างกายก็จะสหลายแคลเซียมจากกระดูกมากเพื่อที่จะมาจับกับฟอสเฟสนั่นเอง

เมื่อเราดื่มเข้าไปมากๆเข้ากระดูกของเราก็จะพรุนมากขึ้นๆทำให้บางทีเกิดกระดูกหักได้เลยเลยทีเดียวดังนั้นแล้วแนะนำว่าให้คุณดื่มในปริมาณที่เหมาะสมวันนึงคุณอาจจะดื่มกาแฟสักแก้วนึงก็เพียงพอแล้วและก็ไม่ควรที่จะเกินสองแก้วก็จะช่วยป้องกันไม่ทำให้กระดูกของท่านพรุนนั่นเอง

ส่วนเรื่องของสมุนไพรยาต้มยาหม้ออะไรต่างๆเพราะว่ายาเหล่านี้บางยี่ห้อบางชนิดก็จะมีส่วนผสมของสเตรอยนั่นเองการที่เราทานสเตรอยเข้าไปเป็นเวลานานๆจะส่งผลทำให้กระดูกของเราบางลงๆแล้วก็พรุนในที่สุดนั่นเองแนะนำว่าจะใช้ยาอะไรให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกของท่านพรุน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    เครื่องช่วยฟังตัดเสียงรบกวน

bookmark_borderน้ำมูก สามารถที่จะบอกอาการป่วยของเราได้จากสี

น้ำมูก สามารถที่จะบอกอาการป่วย ยามถึงเวลาป่วยอาการแรกๆที่พิจารณาได้ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดเหมื่อยตามเนื้อตามตัว แล้วและก็ตามด้วยน้ำมูกที่มีการไหลออกมา ถ้าเกิดไม่ทำความสะอาดก็จะแปลงเปลี่ยนเป็นขี้มูกปกปิดรูจมูกให้หายใจไม่สะดวกอีกจนกระทั่งจำต้องพกทิชชู่ประจำตัวตลอด ซึ่งก็น่าอัศจรรย์อยู่เช่นเดียวกันที่การป่วยบาง สีของน้ำมูก ก็เข้มน้อยแตกต่างกัน เราจึงขอแนะนำในการดูสีของน้ำมูกให้ได้รู้กันว่า สีของน้ำมูกสามารถสืบหาโรคที่เราเจ็บป่วยได้เช่นเดียวกัน

รู้จักประโยชน์ของน้ำมูก

ถ้าเกิดร่างกายรู้สึกเจ็บป่วยและก็ตอนที่เผชิญฝุ่นผงมลพิษ ร่างกายก็จะมีการกระตุ้นต่อสภาพแวดล้อม เหมือนที่พูดมาแล้วให้เยื่อบุทางเดินหายใจและก็ทางเดินอาหาร ตัวอย่างเช่น ปอด จมูก ไซนัส คอ ไปถึงกระทั่งหลอดลม ได้สร้างของเหลวเพื่อที่จะค่อยจับสิ่งปลอมปนที่ล่องลอยไม่ให้ไปสู่ร่างกายอากาศ ในบางทีอาจเป็นไปได้อีกทั้งฝุ่น สารก่อภูมิแพ้ รวมทั้งเชื้อไวรัส โดยน้ำมูกมีได้หลากสีขึ้นกับปัจจัยสำหรับการผลิตของร่างกาย ก็เลยทำให้เราสามารถที่จะดูสุขภาพพื้นฐานของเราได้จากน้ำมูกด้วยเหมือนกัน

ความหมายของน้ำมูกแต่ละสี

1.น้ำมูกใส เป็นน้ำมูกที่มีความข้นต่ำที่สุด มีลักษณะใส ไม่มีสี รวมทั้งเหลวเป็นน้ำ บ่งถึงการมีร่างกายแข็งแรง แม้กระนั้นคนจำนวนมากมักพบได้บ่อยมากตอนเป็นหวัดนิดหน่อย หรือภูมิแพ้ที่ไม่ได้รุนแรงมากรวมถึงตอนร้องไห้ เพราะว่าจมูกแห้ง ร่างกายเลยอยากที่จะให้โพรงจมูกเปียกชื้นเพิ่มมากขึ้น

2.น้ำมูกสีขาว มีลักษณะเหนียวกว่าแบบใส มีสาเหตุจากน้ำมูกขังอยู่ด้านในโพรงจมูกเป็นระยะที่ยาวนานกระทั่งสูญเสียน้ำที่เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้น้ำมูกที่หนาเป็นสีขาวถึงแม้ปลอดภัยแม้กระนั้นแม้พบมากบางทีอาจเป็นสาเหตุของโรคไซนัส

3.น้ำมูกสีเขียว ซึ่งก็คือร่างกายเจ็บป่วย เนื่องจากว่าภูมิคุ้มกันของเรากำลังทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่รอบๆทางเดินหายใจหรือก็คือการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวจะสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้น้ำมูกเป็นสีเขียวผสมเหลืองออกมา

4.น้ำมูกสีแดง เป็นการส่งสัญญาณว่ามีอาการบาดเจ็บรอบๆจมูก หรืออาการเส้นโลหิตในโพรงจมูกแตก อีกทั้งจากการสั่งขี้มูกเยอะมากเกินไป แคะขี้มูกหลายครั้ง จะส่งผลให้น้ำมูกติดสีแดงจากเลือดรวมทั้งจะมีสีน้ำตาลที่เกิดจากเลือดที่แห้งแล้ว

5.น้ำมูกสีเทา พบเจอได้ยากโดยที่บางทีอาจเป็นอาการอีกแบบหนึ่งของอาการกำเนิดริดสีดวงด้านในโพรงจมูก โดยมีสาเหตุจากไซนัสที่มีการบวมเบ่งออกมา

6.น้ำมูกสีดำ อาจเป็นเพราะการได้รับเชื้อราที่ร้ายแรงจนถึงเป็นสัญญาณโรคแพ้อากาศจากเชื้อรา รวมทั้งเกิดจากการสูบบุหรี่หรือใช้สิ่งเสพติด และก็อยู่เขตอากาศที่เป็นมลภาวะเยอะเกินไป

 

สนับสนุนโดย  เครื่องช่วยฟังแบบชาร์จหรือใส่ถ่านดีกว่ากัน

bookmark_borderคุณประโยชน์ดีๆของ “พริก” คนถูกใจรับประทานเผ็ดโดยตรง

คุณประโยชน์ดีๆของ “พริก” ของกินรสเผ็ด บางทีอาจสร้างความทรมาทรกรรมในช่องปากให้กับคนรับประทานจนถึงจะต้องเช็ดเหงื่อเฉือนน้ำตากันไปเป็นนานเลยและก็บางทีอาจจะป่วยไข้ท้องนักข้างหลังรับประทานเสร็จ แม้กระนั้นผู้ที่ถูกใจรับประทานเผ็ดอาจมีเฮ เมื่อทราบว่าของกินรสเผ็ดก็มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพได้เช่นกัน

พริกมาจากไหน?

พริกถูกศึกษาค้นพบทีแรกที่อเมริกากลาง รวมทั้งอเมริกาใต้ ในเมื่อราวๆ 7,000 ปีก่อน จาก คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ต่อจากนั้นได้มีการนำพริกมาปลูก และก็แพร่ขยายไปทั่วยุโรป ก่อนที่จะแผ่กระจายไปทั่วทั้งโลก ซึ่งเมืองไทยของเรานั้น ก็รู้จักและก็เคยชินกับการปลูกพริกมานานแล้ว

สายพันธุ์ของพริกในไทย มีอยู่ทั้งสิ้นราวๆ 831 สายพันธุ์ รวมทั้งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กรุ๊ปใหญ่เป็นพริกชี้ฟ้า พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ รวมทั้งพริกขี้หนูเม็ดเล็ก สารแคปไซซินนี้ นอกเหนือจากที่จะดีต่อร่างกายแล้ว ยังมีลักษณะเด่นตรงที่ สามารถทนความร้อนได้ดิบได้ดี ทำให้ไม่ว่าจะผ่านวิธีการทำให้สุก หรือผึ่งแดดจนกระทั่งแห้ง ก็ยังคงความเผ็ดร้อนไว้ได้อย่างที่เคย

ประโยชน์ของการที่เรากินพริก

ลดน้ำหนัก   สารแคปไซซินอาจมีส่วนช่วยเผาผลาญพลังงานรวมทั้งไขมันภายในร่างกายได้ ก็เลยเป็นรสของกินของคนที่กำลังลดหุ่นได้ดิบได้ดี ก็เลยทำให้สารแคปไซซินเป็นองค์ประกอบของยาที่ช่วยสลายไขมันภายในร่างกายด้วย

บรรเทาอาหารไข้หวัด  พริกมีวิตามินซีที่มีส่วนช่วยสร้างเสริมรูปแบบการทำงานของระบบภูมิต้านทานสำหรับการคุ้มครองปกป้องการรับเชื้อ ที่บางทีอาจนำมาซึ่งการเจ็บป่วย แม้กระนั้นมีข้อคิดเห็นเป็น วิตามินซีไม่ใช่ยาที่ใช้รักษาโรคหวัด แม้กระนั้นอาจมีส่วนช่วยลดอาการร้ายแรงของหวัด ทุเลาอาการหวัด    เครื่องช่วยฟังแบบชาร์จ      แล้วก็ทำให้รู้สึกตัวตัวได้ไว ย่นเวลาการเจ็บป่วยได้

ลดการอักเสบ ลดความเสี่ยงของมะเร็ง    ในพริกมีสารต้านอนุมูลอิสระที่นอกเหนือจากที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณให้ผ่องใสแจ่มใสแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดอาการอักเสบภายในร่างกาย รวมทั้งลดการเสี่ยงสำหรับเพื่อการเป็นโรคโรคมะเร็งได้อีกด้วย

ช่วยให้อายุยืน    สารอาหารในพริก ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงเพิ่มขึ้น ก็เลยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายและก็แก่ยืนยาวขึ้นได้ด้วย

ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ  พริกจะช่วยลดการรวมกลุ่มของเกล็ดเลือด ช่วยละลายลิ่มเลือด ทำให้เลือดไม่จับตัวกันมีลักษณะที่กลายเป็นก้อนกระทั่งตันเส้นเลือด ซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของโรคความดันเลือดสูง และก็โรคเส้นโลหิตและก็หัวใจ

ข้อควรระวังในการรับประทานพริก

ความเผ็ดของพริกไม่เหมาะสมกับคนที่มีโรคประจำตัวของระบบทางเดินอาหาร ดังเช่นว่า โรคแผลในกระเพาะ กรดไหลย้อน ไส้อักเสบ ฯลฯการกินพริกมากเกินความจำเป็น อาจส่งผลให้เจ็บท้อง ท้องร่วง หรือระคายกระเพาะได้ควรจะขอคำแนะนำแพทย์ก่อนจะมีการกิน เพราะว่าอาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาอาการแพ้ โดยยิ่งไปกว่านั้นกับสตรีตั้งท้องและก็อยู่ในตอนให้นมลูก

bookmark_borderอาการบาดเจ็บที่หลังและคอ

 

อาการบาดเจ็บที่หลังและคอนั้นพบได้น้อยมากในนักกีฬารุ่นเยาว์ แต่เมื่อเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดความคับข้องใจอย่างมาก นักกีฬาต้องผ่านโปรแกรมการฟื้นฟูสมรรถภาพที่ครอบคลุมและมีความต้องการก่อนที่จะกลับไปเล่นกีฬาการแข่งขัน: ในบางกรณี นักกีฬาอาจไม่สามารถกลับไปเล่นกีฬาที่ตนเองได้รับได้ การบาดเจ็บที่หลังและคอในนักกีฬาส่วนใหญ่เป็นเอ็นหรือกล้ามเนื้อตึง นอกเหนือจากการบาดเจ็บแล้ว สิ่งเหล่านี้มักเกิดจากการใช้กีฬามากเกินไป กลไกและเทคนิคของร่างกายที่ไม่เหมาะสม สภาพไม่ปกติ หรือยืดไม่เพียงพอ นักกีฬาจะบ่นถึงอาการปวดหลังเมื่อเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย และจะรู้สึกโล่งใจเมื่อได้พักผ่อน

แต่ในบางครั้ง อาการที่ร้ายแรงกว่านั้นอาจมีอาการคล้ายคลึงกัน ด้วยเหตุนี้ การรักษาอาการบาดเจ็บที่หลังและคอในนักกีฬารุ่นเยาว์อย่างเหมาะสมจึงควรรวมการประเมินที่ดีจากแพทย์ด้วยเสมอ

อาการบาดเจ็บที่หลังและคอ โดยใช้การศึกษาเกี่ยวกับภาพเมื่อจำเป็น จากข้อมูลของ North American Spine Society อาการบาดเจ็บที่หลังและคอที่ร้ายแรงกว่านั้น ได้แก่ spondylolysis และ spondylolisthesis: ข้อบกพร่องชนิดหนึ่งในกระดูกสันหลังของกระดูกสันหลัง (spondylolysis) และกระดูกชิ้นหนึ่งหลุดสัมพันธ์กับอีกชิ้นหนึ่ง (spondylolisthesis) สาเหตุทั่วไปของอาการปวดหลังในนักกีฬาอายุน้อย โดยเฉพาะนักยิมนาสติก เนื่องจากต้องบิดและยืดกระดูกสันหลังมากเกินไป

Stinger เรียกอีกอย่างว่าburnerหรือnerve pinch ที่การบังคับศีรษะไปทางด้านข้างและไปกดทับเส้นประสาทไขสันหลังที่คอหรือที่การบังคับให้ศีรษะไปด้านข้างจากไหล่จะยืดเส้นประสาทใน คอและไหล่ อาการบาดเจ็บที่พบบ่อยที่สุดในวงการฟุตบอลและมวยปล้ำมักไม่ได้รับการรายงาน เนื่องจากอาการต่างๆ สามารถหายได้ทันท่วงทีและรวดเร็ว สามารถเกิดขึ้นอีกและนำไปสู่ความเจ็บปวดถาวรหรือแขนอ่อนแรงหากไม่ได้รับการรักษา

การบาดเจ็บที่ดิสก์ สาเหตุทั่วไปของอาการปวดหลังในนักกีฬาที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งน้อยกว่ามากในหมู่นักกีฬาอายุน้อย มันอาจจะเกี่ยวข้องกับอาการปวดตะโพกหรือไม่ก็ได้ การวินิจฉัยอย่างระมัดระวัง รวมถึงการสแกนด้วย MRI สามารถช่วยในการแยกแยะสาเหตุที่เป็นไปได้อื่น ๆ ที่สามารถเลียนแบบการบาดเจ็บของแผ่นดิสก์ในร่างกายเด็กที่ยังคงเติบโตได้

โรค Scheuermann หรือ kyphosis เด็กและเยาวชน สาเหตุทั่วไปอีกอย่างหนึ่งของอาการปวดหลังในนักกีฬารุ่นเยาว์ในช่วงวัยแรกรุ่นที่เกิดขึ้นในช่วงกลาง – เมื่อเทียบกับหลังส่วนล่างและนำไปสู่ความกลมของด้านหลังที่ทำให้รูปร่างโดมแย่ลงเมื่อก้มไปข้างหน้า การออกกำลังกายมักไม่เพียงพอที่จะแก้ไขโรคนี้ และหากการใส่เหล็กดัดแล้วไม่บรรเทาความเจ็บปวด อาจต้องผ่าตัด ซึ่งหลังจากนั้นไม่น่าเป็นไปได้ที่นักกีฬาจะกลับมาเล่นกีฬาต่อได้

การวิจัยเกี่ยวกับนักกีฬาโอลิมปิก โครงการการบาดเจ็บและการเจ็บป่วย (IIPP)

แม้ว่าคุณจะไม่สามารถกำจัดการบาดเจ็บและความเจ็บป่วยได้อย่างสมบูรณ์ แต่คุณสามารถหาวิธีลดความเสี่ยงได้ นี่คือจุดประสงค์ของการศึกษากีฬาหลายกีฬาระดับชาติที่มีความทะเยอทะยานและครอบคลุมซึ่งเรียกว่าโครงการผลการปฏิบัติงานด้านการบาดเจ็บและการเจ็บป่วย (IIPP) ปักกิ่ง 2008 เป็นครั้งแรกที่คณะกรรมการโอลิมปิกสากลรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการบาดเจ็บจากกีฬาหลายประเภท และทีมบริเตนใหญ่ (GB) แสดงให้เห็นว่าตนเองพร้อมที่สุด โดยบันทึกอัตราการบาดเจ็บเฉลี่ยต่ำสุด ไม่นานหลังจากปักกิ่ง ทีมวิจัยและนวัตกรรมด้านกีฬาของสหราชอาณาจักรและสถาบันกีฬาแห่งอังกฤษ (EIS)

ได้จัดตั้งการศึกษาทางระบาดวิทยาด้านการบาดเจ็บและการเจ็บป่วยจากกีฬาหลายประเภทแห่งชาติเป็นครั้งแรกของประเทศ โครงการเริ่มรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลในปี 2552 และยังคงดำเนินต่อไป เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และโค้ชจากหน่วยงานกำกับดูแลกีฬาแห่งชาติส่งข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับการบาดเจ็บและความเจ็บป่วยในนักกีฬา และความเสี่ยงในการฝึกซ้อมและการแข่งขัน Rod Jaques

ผู้อำนวยการฝ่ายบริการทางการแพทย์ของ EIS กล่าวว่าสิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจธรรมชาติของการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บก่อนที่จะทำการรักษาใหม่ กีฬาโอลิมปิกมีส่วนร่วมในการศึกษา โดยแต่ละประเภทมีชุดข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติการณ์การบาดเจ็บ ความชุกของการเจ็บป่วย และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และกีฬาแต่ละประเภทมีชุดคำแนะนำเฉพาะสำหรับการลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ใช้เครื่องช่วยฟังเมื่อไหร่ดี

bookmark_borderควรได้รับโปรตีนเท่าไหร่ต่อวัน

โดยทั่วไปการกินโปรตีน 0.36 ถึง 0.45 กรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งปอนด์ก็เพียงพอแล้ว  ควรได้รับโปรตีนเท่าไหร่ต่อวัน    หากคุณกำลังใช้กิโลกรัม อัตราคือ 0.8 ถึง 1.0 กรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม (กิโลกรัมเป็นวิธีที่แนะนำสำหรับการดูแลสุขภาพ ดังนั้นเราจะใช้แบบฟอร์มนี้อีกครั้งในภายหลัง ในการแปลงปอนด์เป็นกิโลกรัม ให้หารน้ำหนักเป็นปอนด์ด้วย 2.2) ตัวอย่าง

สำหรับผู้ชายน้ำหนัก 175 ปอนด์ ให้โปรตีน 63 ถึง 80 กรัมต่อวัน สำหรับผู้หญิงน้ำหนัก 135 ปอนด์ วิธีนี้ได้ผล 49 ถึง 63 กรัมต่อวัน อีกวิธีหนึ่งคือการคำนวณ 20% ของปริมาณแคลอรี่ที่แนะนำ (ซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวเลข/ปัจจัยที่มากกว่า แต่นี่เป็นแนวคิด)

ชายน้ำหนัก 175 ปอนด์คนนี้นั่งทำงานประจำวัน (คล่องแคล่วเล็กน้อย) และออกกำลังกายประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวัน (กิจกรรมปานกลาง) 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ดังนั้นเราจึงคาดว่าความต้องการแคลอรี่โดยรวมของเขาจะอยู่ที่ประมาณ 2,700 20% ของจำนวนนี้จะเท่ากับ 135 กรัม ความแตกต่างระหว่างผลลัพธ์จากวิธี 20%

และช่วงที่ใช้กรัมต่อน้ำหนักนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ อาหารมีความยืดหยุ่นในลักษณะนั้น การประเมินว่ามีคนรับประทานโปรตีนเพียงพอหรือไม่ จะรวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น พลังงานโดยรวม ความเพลิดเพลินในการรับประทานอาหาร ความแข็งแรง สมรรถภาพในโรงยิม น้ำหนักที่เปลี่ยนแปลง ความเมื่อยล้า/ปวดหัว เป็นต้น

เพิ่มประสิทธิภาพการบริโภค โปรตีนมีความแปรปรวนเล็กน้อยที่การกินปริมาณมาก ๆ ไม่ได้ขยายประโยชน์ การใช้โปรตีนอย่างมีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นมา

(เช่น ออกกำลังกายมากน้อยแค่ไหน ต้องการสารอาหารหลักอื่นๆ อีกอย่างไร) ฉันชอบคิดที่จะสร้างกล้ามเนื้อเหมือนสร้างบ้าน: ถ้าฉันส่งคนงานไปที่นั่นโดยไม่มีวัสดุ (เท่ากับออกกำลังกายแต่กินไม่เพียงพอ) ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าฉันส่งวัสดุไปที่นั่น แต่ไม่มีคนทำงาน (เท่ากับกินโปรตีนมาก ๆ แต่ไม่ออกกำลังกาย) ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกครั้ง

หากเป้าหมายของคุณคือการกินโปรตีนให้เพียงพอและรู้สึกอิ่มเอมกับมื้ออาหาร 15-25 กรัมต่อมื้อและประมาณ 10 ต่อของว่าง    เครื่องช่วยฟัง      ก็เพียงพอแล้ว (คุณยังสามารถคำนวณว่าคุณต้องการเท่าไหร่และแบ่งอาหาร/ของว่างเป็นมื้อ) หากเป้าหมายของคุณคือการสร้างหรือรักษามวลกล้ามเนื้อติดมัน ให้ลองกินโปรตีนระหว่าง 1.2 ถึง 1.6 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

แล้วแบ่งมันตามมื้ออาหาร บางคนอาจดันซองได้ถึง 2.2 กรัมต่อกิโลกรัม แต่ฉันไม่แนะนำปริมาณนี้ เว้นแต่คุณจะกระตือรือร้นมาก มีความต้องการสูง หรือกำลังไล่ตามเพาะกาย อาหารที่มีโปรตีนสูงมากมักทำให้ขาดสารอาหารที่มีประโยชน์อื่นๆ

หากเป้าหมายของคุณคือการลดน้ำหนัก ลองใช้คำแนะนำพื้นฐานก่อน (ด้วยผักเพียงพอและคาร์โบไฮเดรต/ไขมันปานกลาง) จากนั้นปรับตามความรู้สึกของคุณและความคืบหน้า (แม้ว่าให้เวลาร่างกายตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต) การจัดการน้ำหนักนั้นซับซ้อน ดังนั้นจึงต้องใช้หลายวิธี หากคุณสังเกตเห็นหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นอย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญคือการแบ่งปริมาณโปรตีนในมื้ออาหารและของว่างให้เท่ากัน เพื่อให้คุณได้รับประทานโปรตีนในช่วงเวลาปกติตลอดทั้งวัน เหมาะสำหรับการตอบสนองของกล้ามเนื้อและมีแนวโน้มที่จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้นและจัดการพลังงานได้ดีขึ้น

bookmark_borderสุขภาพและโรคอ้วนได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ

สุขภาพและโรคอ้วนได้รับอิทธิพล โรงเรียนเป็นสถานที่สำหรับการเป็นพลเมืองที่สำคัญและเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่เพื่อปลูกฝังมุมมองของบรรษัทข้ามชาติเกี่ยวกับความหมายของการมีสุขภาพที่ดี และร่างกายที่แข็งแรงควรมีลักษณะอย่างไร สุขภาพและโรคอ้วนได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางประวัติศาสตร์ สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม พันธุกรรม การเมือง และเศรษฐกิจที่หลากหลาย Coca-Cola “อย่างเป็นทางการ”

ยอมรับความซับซ้อนนี้ แต่วิธีแก้ปัญหา “commonsense” ที่เสนอของโรงเรียนนั้นเรียบง่ายเกินไป มีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นไปที่มนต์ “เผาผลาญแคลอรี่มากขึ้นกินแคลอรี่น้อยลง” แบบเก่า โดยทั่วไปแล้ว โปรแกรมโค้กเหล่านี้ส่งเสริมมุมมองที่แคบว่าสุขภาพคืออะไร (เพื่อให้มีน้ำหนักตัวที่แข็งแรง) ทำอย่างไรจึงจะบรรลุผลได้ (การเลือกวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีเป็นรายบุคคล) และในขณะเดียวกันก็เพิกเฉยต่อปัจจัยกำหนดสุขภาพของเด็กในวงกว้าง เช่น ความยากจน , นโยบายของรัฐบาล และการโฆษณาองค์กร

ความอ้วนของเด็กเกิดจากการเลือกที่ “ผิด” (โลภและเกียจคร้าน) ข้อความจากโค้ก (และครูที่สอนโปรแกรมโค้กอย่างไม่มีวิจารณญาณ) นั้นดังและชัดเจน หากคุณอ้วนหรือไม่แข็งแรง นั่นเป็นความผิดของคุณเองหรือพ่อแม่ของคุณ ผลที่ตามมาที่ไม่ดีต่อสุขภาพก็คือเด็กอ้วนได้รับการเฝ้าติดตามมากเกินไป และถูกตำหนิ ตีตรา กระทั่งถูกรังแกเพราะอ้วน “โดยเจตนา”

ในขณะที่ Coca-Cola ยังคงทำการตลาดด้วยตัวเองในฐานะความรับผิดชอบต่อสังคมเกี่ยวกับโรคอ้วน แต่ก็เป็นการส่งต่อความรับผิดชอบด้านการเมืองด้านสุขภาพและโรคอ้วนไปสู่ตัวเด็กเอง และเป็นที่เข้าใจได้ว่ามีความสับสนในหมู่เด็กและครูว่าเหตุใดบริษัทอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งจึงสอนพวกเขาเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม

สิ่งที่สามารถทำได้ ไม่ชัดเจนว่าเราจะเห็นโฆษณา Coca-Cola บนหน้าจอของเราหรือไม่ มีรายงานว่าบริษัทกำลังประเมินผลกระทบของแคมเปญโฆษณาในสหรัฐอเมริกาและ “ความเกี่ยวข้องสำหรับตลาดท้องถิ่น” สิ่งที่ชัดเจนคือ Coca-Cola จะยังคงใช้โรงเรียนเพื่อ “สอน” เด็กๆ ต่อไปว่า Coca-Cola เป็นบริษัทส่งเสริมสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และการมีสุขภาพดีนั้นง่ายพอๆ กับการเลือกสมดุลพลังงานที่เหมาะสม ไม่ใช่ กำลังอ้วน

การผลักดันกฎระเบียบเพื่อจำกัดการตลาดในโรงเรียนเป็นวิธีหนึ่งที่จะหยุดยั้งกระแสการค้าของโรงเรียน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทอย่าง Coca-Cola ยังคงใช้กลยุทธ์การตลาดแบบลับๆ เพื่อดึงดูดความสนใจ ความจงรักภักดี และอัตลักษณ์ของเด็ก ฉันขอเสนอกลยุทธ์ตอบโต้ โฆษณาใหม่ของ Coca-Cola จบลงด้วยประโยคที่ว่า “เรารู้ว่าเมื่อผู้คนมารวมตัวกัน เราสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างแท้จริง” ฉันเห็นด้วย. ครูสามารถมาร่วมกับนักเรียน ครูใหญ่กับครู ผู้ปกครองกับลูกๆ ของพวกเขา และท้าทายวิธีแก้ปัญหาและความตั้งใจของโค้ก

ผ่านการอภิปรายและการอภิปราย เราสามารถตั้งคำถามเกี่ยวกับมุมมองของโค้กเกี่ยวกับโรคอ้วน ท้าทายสมมติฐานที่ว่า อ้วน ขี้เกียจ ไม่แข็งแรง เรียนรู้ว่าคนอื่นมองสุขภาพอย่างไร และแม้แต่ดำเนินการเพื่อปรับปรุงอิทธิพลด้านสุขภาพของเด็กในวงกว้าง นี่เป็นวิธีหนึ่งที่ชุมชนโรงเรียนสามารถสร้างความแตกต่างให้กับสุขภาพของเด็กได้อย่างแท้จริง แทนที่จะทำในสิ่งที่โค้กต้องการให้เราทำ นั่นคือซื้อผลิตภัณฑ์และโทษตัวเอง

 

สนับสนุนโดย    เครื่องช่วยฟังที่เสียงรบกวนน้อยที่สุด

bookmark_borderผมแห้งดูแลอย่างไร

ย้อมผมบ่อย ฉันได้ย้อมมัน สีม่วง แดง รุ้ง น้ำเงิน ม่วง และชมพู และปัจจุบันมันเป็นสีขาวและสีน้ำเงิน การย้อมผมเป็นหนึ่งในวิธีแสดงออกและรู้สึกมั่นใจ แม้ว่าการย้อมผมเป็นเรื่องสนุก ผมแห้งดูแลอย่างไร

แต่ก็อาจเป็นอันตรายได้ ไม่เพียงแต่จะทำลายเส้นผมของคุณเท่านั้น แต่หากใช้ไม่ถูกต้อง คุณอาจได้รับสารเคมีไหม้ ย้อมหนังศีรษะ เข้าตาหรือปากของคุณ และอื่นๆ อีกมากมาย เชื่อฉันเถอะว่าเมื่อเข้าปากแล้ว รสชาติไม่อร่อยเลย และถ้าฉันกินเข้าไปมากเกินกว่าจะเป็นอันตรายได้ ดังนั้นหากคุณกำลังวางแผนที่จะย้อมผม ให้ระวังให้มาก ถ้านี่เป็นครั้งแรกของคุณ ให้ลองไปร้านเสริมสวยหรือช่างทำผมเพื่อขอคำแนะนำ เทคนิค และอาจทำผมโดยพวกเขา

     นี่คือสิ่งที่คุณควรทำก่อนย้อมผม  หาช่างทำผมถ้าคุณเคยย้อม/ฟอกสีผมมาก่อน พวกเขาสามารถบอกคุณได้ว่าผมของคุณเสียเกินกว่าจะใช้สีย้อมหรือสารฟอกขาวหรือไม่ เมื่อคุณทำร้ายเส้นผมของคุณ มันอาจเป็นอันตรายได้ ตัวอย่างเช่น ผมของคุณอาจบางและหลุดร่วงได้หากได้รับความเสียหายมากเกินไป โชคดีที่ฉันจับได้เสมอว่าผมเสียหรือไม่ก่อนตายอีก ถ้าผมของคุณเสีย ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวกับผม นวดแล้วทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วล้างออกในเช้าวันรุ่งขึ้น หากคุณทำเช่นนี้สัปดาห์ละสองครั้งเป็นเวลาหนึ่งเดือนผมของคุณจะแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง

ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสีย้อมที่คุณใช้ ฉันซื้อสีย้อมราคา $20 CDN หนึ่งครั้งโดยไม่ตรวจสอบ ฉันแค่ต้องการผมสีม่วง น้ำยาฟอกที่มาพร้อมกับสีย้อมทำให้ผมสีน้ำตาลของฉันกลายเป็นสีส้มเข้ม เมื่อผมของฉันสว่างพอที่จะใส่สีม่วงเข้าไปแล้ว สีม่วงก็ไม่ติดเลย มันทำให้ฉันมีสีส้มมากขึ้น ฉันมักจะตรวจสอบสีย้อมของฉันตอนนี้เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้น

แม้ว่าคุณจะคิดว่าคุณรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ให้ตรวจสอบคำแนะนำเสมอ พวกเขาจะอธิบายอันตรายที่เชื่อมโยงกับการใช้สีย้อมนี้และวิธีการใช้โดยไม่ทำให้เกิดแผลไหม้จากสารเคมี หนังศีรษะตาย หรือทำให้ผมของคุณเสียหายอย่างรุนแรงตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีถุงมือแบบใช้แล้วทิ้ง (ไวนิลดีที่สุด) การมีถุงมือสามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงไม่ให้สีย้อมติดมือหรือโดนสารเคมีไหม้ได้ ไม่น่าจะเกิดแผลไหม้จากสารเคมีแต่เป็นไปได้ทั้งหมดหากผสมสีย้อมไม่ถูกต้อง

ตรวจสอบอีกครั้งว่าคุณไม่มีอาการแพ้ส่วนผสมในสีย้อม หลายคนแพ้สารเคมีบางชนิดที่พบในสีย้อมผม ปฏิกิริยาสามารถรวมถึง; อาการคัน, ระคายเคือง, แดง, ความรุนแรง, แสบร้อน, บวม, ปวดอย่างรุนแรงในบริเวณที่สัมผัสและช็อกจากภูมิแพ้หากไม่ได้รับการรักษา

หากคุณมีข้อกังวลใด ๆ ให้ไปพบแพทย์ของคุณ พวกเขาสามารถทำการทดสอบภูมิแพ้ก่อนที่คุณจะย้อมผมเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ นี่เป็นเพียงสิ่งที่ต้องทำก่อนย้อมผม แต่หลังจากนั้นล่ะ สระผมด้วยน้ำเย็นเท่านั้น เว้นแต่คำแนะนำหรือช่างทำผมจะเป็นอย่างอื่น ช่วยให้สีผมของคุณล็อคและอยู่ในเส้นผมของคุณได้นานขึ้น ครั้งแรกที่ฉันทำผมเป็นสีน้ำเงิน ฉันไม่ได้สระผมในน้ำเย็น แต่ล้างด้วยน้ำอุ่น มันอยู่ในครึ่งเวลาที่ควรจะมี ครั้งที่สองที่ฉันย้อมผมเป็นสีน้ำเงินฉันล้างมันในน้ำเย็นและมันอยู่นานกว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย ดูดีขึ้นได้นานกว่า ทำทรีทเม้นท์น้ำมันมะพร้าว ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ วิธีนี้จะช่วยสมานผมของคุณ มันจะไม่เอาสีย้อมผมออก แต่จะช่วยรักษาผมของคุณเท่านั้น ทำตามขั้นตอนเดียวกับที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้

สระผมด้วยแชมพูปราศจากซัลเฟต นอกจากนี้ยังช่วยให้เส้นผมของคุณแข็งแรงขึ้น ยังช่วยให้ผมของคุณดูดีขึ้นได้นานขึ้นอีกด้วย ขั้นตอนเหล่านี้เป็นขั้นตอนที่ฉันติดตามทุกครั้ง หากคุณมีคำถามใด ๆ โปรดติดต่อเรา หรือติดต่อช่างทำผมในพื้นที่ของคุณหากมีคำถามใดๆ อย่าลืมว่าการย้อมผมของคุณไม่เพียงแต่จะปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังต้องสนุกไปกับมันด้วย!

 

สนับสนุนโดย    เครื่องช่วยฟังที่เสียงรบกวนน้อยที่สุด

bookmark_borderปัญหาความงาม

เรื่องราวหน้าปกของเราคือการสำรวจความงามในทุกรูปแบบ เราพบสิ่งนี้ในผู้หญิงห้าคนบนหน้าปกของเรา ในการประชุมโต๊ะกลมที่เราจัดร่วมกับพวกเธอ ในการสนทนาเกี่ยวกับมาตรฐานความงามของผู้ชาย และในธุรกิจขนาดเล็กในบัลติมอร์ที่ส่งเสริมการดูแลตนเองและการยอมรับในแต่ละวัน ข้อสรุปของเรา? ความงามมีอยู่ทุกที่ คุณเพียงแค่ต้องรู้ว่าจะดูที่ไหนจะเป็นอย่างไร

ถ้าคุณถูกขอให้ตั้งชื่อคนที่สวยงามในวัฒนธรรมของเราในวันนี้ คุณจะนึกถึงใคร? นางฟ้าวิคตอเรียซีเคร็ท ดารา YouTube ยอดนิยม? ไอดริส เอลบา? ใช่ พวกเขาทั้งหมด “สวย” แต่บ่อยครั้งที่คำจำกัดความของเราเกี่ยวกับคำนั้นแคบเกินไป 

ไม่ว่าจะเป็นผิวพอร์ซเลนของฝรั่งเศสในสมัยศตวรรษที่ 18 ซิลลูเอทที่เพรียวบางและผมหยักศกของยุค 20 หรือรูปนาฬิกาทรายที่ได้รับความนิยมในยุค 50 แนวคิดเรื่องอุดมคติทางกายภาพโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงได้พัฒนาไปตามกาลเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คือ ผู้หญิงจำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามมาตรฐานที่เป็นไปไม่ได้เหล่านั้นเพื่อที่จะรู้สึกสวยงาม มาตรฐานความงามเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้กระทั่งในช่วงชีวิตของเรา (คิดว่าคิ้วบางแบบดินสอของยุค 90 และใบหน้าที่โค้งมนอย่างสมบูรณ์แบบของ Kardashians ที่ได้รับความนิยมเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา)

แต่ตอนนี้มีริ้วรอยใหม่: เราอยู่ในโลกที่ทุกสิ่งสามารถปลอมแปลงหรือแก้ไขได้ ความไม่สมบูรณ์หรือข้อบกพร่องเล็กน้อยสามารถหายไปได้ด้วยการปัดนิ้วหรือแอปโทรศัพท์ที่ถูกต้อง และสาว ๆ ก็โตมากับเทคโนโลยีนี้ ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กให้เปลี่ยนตัวเอง  เครื่องช่วยฟังขนาดเล็ก  ให้สวย 

สื่อมวลชนเป็นผู้นำในการนำเสนอและเฉลิมฉลองอุดมคติเหล่านี้ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่สามารถบรรลุได้ และมักจะมีลักษณะสมมาตร ผอมบาง และขาว รูปภาพที่เราถูกบอกให้แยกแยะจากบริษัทใหญ่ คนดัง หรือฟีด Instagram มักจะถูกแต่งด้วย Photoshop อย่างหนักและประมวลผลผ่านตัวกรองจำนวนมาก อันตรายที่แท้จริงเริ่มต้นเมื่อเราเริ่มเปรียบเทียบตัวเรากับภาพเหล่านี้ เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความไม่มั่นคง เราถูกสอนให้ไม่ปลอดภัย เราว่าช่างมันเถอะ เรากำลังทุ่มเทประเด็นนี้ทั้งหมดให้กับความจริงที่ว่าความงามมีหลายมิติและเป็นส่วนตัวอย่างลึกซึ้ง

ความจริงก็คือความงามนั้นมีอยู่จริง ซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคนโดยธรรมชาติ และยิ่งเราใช้ฟิลเตอร์น้อยลงเท่าใด ความสง่างามภายในของเราก็ยิ่งเปล่งประกายออกมาได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น เมื่อคุณมองความงามผ่านเลนส์นั้น ไม่มีที่ว่างสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์หรือการปฏิเสธที่รุนแรง (ตะโกนไปที่นิตยสาร Travel + Leisure ซึ่งทำให้บัลติมอร์เป็นเมืองที่น่าเกลียดที่สุดในประเทศ) เราคิดว่าบัลติมอร์สวยงามในความหลากหลาย ความคิดสร้างสรรค์ และความอ่อนน้อมถ่อมตน

เราพบสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดและอื่นๆ อีกมากมายในการสนทนาที่มีชีวิตชีวาและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับมาตรฐานความงามในหมู่ผู้หญิงในท้องถิ่นห้าคน และใช่ แม้ว่าครีมทาผิวที่ดีหรือการให้ความชุ่มชื้นที่เหมาะสมสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้ แต่ความงามนั้นไม่ได้เป็นเพียงรูปลักษณ์และความรู้สึกที่มากกว่า ดังนั้นจงใช้เวลาเพื่อเฉลิมฉลองให้กับตัวเองและกันและกัน ดังที่เราเป็น และตามที่ควรจะเป็น มีอำนาจ