bookmark_borderรู้หรือไม่ 3 ประโยชน์ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

ประโยชน์ของเครื่องดื่ม การมีสุขภาพร่างกายในสมัยปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ การเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

เพื่อเป็นตัวช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายที่ดี ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบันนี้มักที่จะมีพฤติกรรมการปล่อยละเลยการดูแลสุขภาพร่างกาย

จนทำให้ร่างกายนั้นเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นได้ หรือแม้กระทั่งการเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายนั่นเอง ซึ่งหลายคนอาจจะทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า การที่เรามีร่างกายที่ไม่แข็งแรง หรือมีระบบภูมิคุ้มกันโรคที่ไม่ดี จะยิ่งทำให้ร่างกายของเราเกิดภาวะต่าง ๆ หรือโรคร้ายต่าง ๆ ได้ง่าย

ฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า สมัยปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่เริ่มที่จะหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ

เพราะอาจจะมองว่าหากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดี มีรูปร่างที่ดีนั้น นอกจากจะทำให้การใช้ชีวิตในประจำวันของเรามีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามก็ สำหรับใครที่อยากหันมาสร้างสุขภาพร่างกายที่ดีให้แก่ตนเอง

วันนี้เราก็จะมาแนะนำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ที่รับรองได้เลยว่าหากดื่มเป็นประจำจะยิ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย จะมีอะไรกันบ้างไปดูกันเลย

1.การเพิ่มพลังงานสมองด้วยกาแฟ

แน่นอนว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ถือเป็นหนึ่งในเครื่องที่หลาย ๆ คนชอบดื่มกันเป็นอย่างมาก เพรากาแฟจะอุดมไปด้วยสารคาเฟอีนที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มพลังงานให้กับสมอง ช่วยกระตุ้นการทำงานให้กับระบบประสาท ช่วยให้ร่างกายของเราตื่นตัว แถมยังมีส่วนช่วยในการบำรุงสมองของเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ซึ่งหากใครที่อยากดื่มกาแฟให้ได้ประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์แก่ร่างกาย  เครื่องช่วยฟังราคาถูก   ควรที่จะเลือกดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไปเพราะอาส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราได้ 

2.การป้องกันโรคเบาหวานด้วยการเลี่ยงน้ำตาล

หลายคนอาจจะทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่าน้ำตาล ถือเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย หรืออาจเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยน้ำตาลจะสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ หรือทำให้เรารู้สึกอารมณ์ดีได้ หากเราดื่มในปริมาณที่เหมาะสม

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากเกินไป จะยิ่งทำให้ร่างกายของเราเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย ทางที่ดีเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ควรที่หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยน้ำตาลสูง แต่ให้ลดปริมาณให้น้อยลงเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี 

3.การควบคุมคอเลสเตอรอลด้วยเครื่องดื่มสมุนไพร

รู้หรือไม่ว่าเครื่องดื่มสมุนไพรเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ยิ่งถ้าเราอยากมีสุขภาพร่างกายที่ดี การที่เราดื่มเครื่องดื่มสมุนไพรเหล่านี้เข้าไปบ่อย ๆ จะยิ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายที่ดี ช่วยลดไขมันอุดตัน ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะนอกจากจะช่วยบำรุงร่างกายของเราได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ บางโรคได้อีกด้วย

bookmark_borderกาแฟกับประโยชน์ที่เราควรรู้

กาแฟกับประโยชน์ที่เราควรรู้ คนส่วนใหญ่ในสมัยปัจจุบันนี้นิยมดื่มกาแฟกันก็เพราะว่า ในกาแฟนั้นจะมีสารคาเฟอีน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสารที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทหรือร่างกายของเราให้เกิดการตื่นตัวได้ตลอดทั้งวัน แถมยังมีประโยชน์ที่สามารถช่วยเผาผลาญไขมันภายในร่างกายของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

ซึ่งรู้หรือไม่ว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ถือเป็นเครื่องดื่มที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและนิยมดื่มในตอนเช้า

เพราะมีประโยชน์ดีๆแก่ร่างกายของเราเยอะ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า กาแฟนั้นนอกจากจะช่วยเสริมสร้างระบบประสาทของเราให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

แต่กาแฟนั้น ยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมายที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ เพราะในกาแฟนั้นจะไม่เพียงแต่มีสารคาเฟอีน

แต่ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงมากๆ และยังมีสารอาหารที่อาจเกิดประโยชน์ดีๆแก่ร่างกายของเราเยอะอีกด้วย ฉะนั้น วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่า กาแฟนั้นนอกจากจะมีสารคาเฟอีน

ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราแล้ว การดื่มกาแฟเป็นประจำนั้นจะมีประโยชน์อะไรแก่ร่างกายของเราได้บ้างไปดูกันเลย

1.กาแฟช่วยลดการเกิดโรคเบาหวาน

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การที่เราดื่มกาแฟเป็นประจำนั้นก็มีส่วนช่วยในการลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้เช่นกัน เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่ากาแฟนั้นมีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันในร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาแฟดำ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกาแฟที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานการดื่มกาแฟเป็นประจำนั้น จะสามารถช่วยลดการเกิดโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.กาแฟช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์

โรคอัลไซเมอร์ ถือเป็นหนึ่งในโลกที่พบเจอได้บ่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งรู้หรือไม่ว่าโรคนี้ เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการดื่มกาแฟ เพราะในกาแฟนั้นจะมีสารคาเฟอีนซึ่งเป็นสารที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นเซลล์ประสาท หรือมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเซลล์สมองของเราให้มีความแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดื่มกาแฟนั้นจึงมีส่วนช่วยในการป้องกันการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้นั่นเอง

3.กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าได้

รู้หรือไม่ว่ากาแฟก็ถือเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่มีส่วนช่วยในการ ลดอาการซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี เพราะในระหว่างที่เราดื่มกาแฟนั้น ร่างกายของเราจะรู้สึกผ่อนคลายโดยเฉพาะจากความเครียด จึงทำให้เรามีความสุข และมีจิตใจที่สงบได้ ยิ่งถ้าเราดื่มเป็นประจำนั้น จะสามารถลดอาการซึมเศร้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งถ้าใครมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ การดื่มกาแฟเป็นประจำนั้นจะช่วยได้อย่างแน่นอน

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  ถ่านเครื่องช่วยฟัง

bookmark_border3 โรคทางตาที่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ

โรคทางตาที่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ รู้หรือไม่ว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกี่ยวกับดวงตา

เพราะเมื่อเราอายุเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของร่างกายก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไป โดยเฉพาะโรคตาที่อาจเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาโรคจอประสาทตาเสื่อม สายตาพร่ามัว โรคต้อกระจกตา หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับดวงตา

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สูงอายุนั้นควรที่จะหมั่นดูแลสุขภาพดวงตาของตนเองให้ดีตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้ดวงตาของเราใช้งานไปได้นานมากยิ่งขึ้น

ซึ่งในสมัยปัจจุบันนี้ก็มีวิธีการมากมายที่สามารถช่วยให้เรานั้นมีสุขภาพดวงตาที่ดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันดวงตาจากแสงที่เป็นอันตราย การเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา

โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่เริ่มเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ วันนี้เราก็จะพาไปดูกันว่า โรคตาที่อาจเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุนั้น จะมีโรคชนิดไหนกันบ้าง เผื่อว่าเราจะป้องกันตนเองได้ ไปดูกันเลย 

1.โรคตาแห้ง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโรคที่อาจเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการที่เราใช้งานสายตามากเกินไป ไม่ค่อยได้กะพริบตา หรือเมื่ออายุของเราเริ่มมากขึ้น ต่อมน้ำตาก็จะผลิตน้ำตาได้น้อยลง จึงทำให้ตาของผู้สูงอายุนั้นแห้งมากขึ้น และส่งผลให้รู้สึกแสบตาได้ง่าย เกิดการระคายเคือง ดวงตาเหนียวหรือเป็นเส้น ซึ่งปัญหานี้หากเราปล่อยไว้อาจมีอาการที่รุนแรงขึ้นจนอาจทำให้เราตาบอดได้

2.โรคต้อหิน เป็นอีกหนึ่งโรคที่เรียกได้ว่ามีความอันตรายต่อผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโรคที่เกิดจากการไหลเวียนของน้ำหล่อเลี่ยงดวงตาที่ผิดปกติ จนส่งผลให้ดวงตานั้นมีความดันที่สูงมากกว่าปกติ และส่งผลกระทบไปยังเส้นประสาทตาที่เกี่ยวกับการมองเห็น โดยโรคนี้จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นเป็นระยะ หากปล่อยไว้ในระยะที่รุนแรงมากขึ้น อาจทำให้ผู้สูงอายุนั้นสูญเสียการมองเห็นได้นั่นเอง 

3.โรคจอประสาทตา โรคนี้เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อจอประสาทตาของเราโดยตรง ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบของดวงตาที่อยู่ภายหลังของผนังด้านในสุดของดวงตา ซึ่งจะมีหน้าที่คอยรับหรือคอยส่งภาพไปยังสมอของเรา เมื่อไหร่ก็ตามที่จอประสาทตาของเราได้รับผลกระทบ หรือได้รับความเสียหาย ก็อาจส่งกระทบต่อการมองเห็นของเราได้ ดังนั้น การที่เราหมั่นดูแลสุขภาพดวงตาของตนเองให้ดีอยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะหากอาการรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้เรานั้นไม่สามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟังราคาเท่าไหร่

bookmark_borderแนะนำกีฬาสำหรับผู้สูงอายุ

รู้หรือไม่ว่าเมื่อเราเริ่มอายุมากขึ้น สุขภาพร่างกายของเราก็ย่อมเสื่อมสภาพลงตามช่วงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราแก่ตัวไปสุขภาพร่างกายของเราไม่ว่าจะส่วนไหนก็ตาม ก็อาจทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิม โดยปกติแล้วเราจะเห็นได้ว่าผู้สูงส่วนใหญ่นั้นมักที่จะไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย

แนะนำกีฬาสำหรับผู้สูงอายุ เพราะแค่ลำพังเดินเอาตัวเองให้รอดก็ว่ายากแล้วแต่จะให้ไปออกกำลังเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่สุขภาพร่างกายก็ถือเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปใหญ่

แต่รู้หรือไม่ว่าหากร่างกายของผู้สูงอายุขาดการเคลื่อนไหวหรือขาดการออกกำลังอยู่บ่อยๆนั่นจะยิ่งทำให้สุขภาพร่างกายย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ จนอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพต่างๆตามมาได้ ดังนั้น การออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอนั้นถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ผู้สูงอายุไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด

เพราะไม่ว่าเราจะอายุเยอะมากแค่ไหนก็ตามการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาก็ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราควรให้ความสำคัญเพื่อที่เราจะได้เสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกายและเพื่อที่เราจะได้มีสุขภาพร่างกายที่ดีและแข็งแรงนั่นเอง

ฉะนั้น สำหรับผู้สูงอายุคนไหนที่อยากหันมาดูแลสุขภาพร่างกายวันนี้เราก็จะมาแนะนำกีฬาง่ายๆที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกีฬาที่ ไม่ต้องออกแรงเยอะ แต่ได้ประโยชน์ดีๆต่อร่างกายเยอะ อาจมีกีฬาประเภทไหนกันบ้างไปดูกันเลย

1.กีฬากอล์ฟ

ถึงแม้ว่ากีฬาประเภทนี้คนส่วนน้อยจะเข้าถึงได้ยากเนื่องจากเป็นกีฬาที่มีราคาเข้าเล่นค่อนข้างแพง แต่รู้หรือไม่ว่ากีฬาประเภทนี้ถือเป็นหนึ่งในกีฬาที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก เพราะเป็นกีฬากลางแจ้งที่แทบไม่ต้องออกแรงของร่างกายเยอะ แต่กีฬาประเภทนี้จะเป็นการฝึกสายตา ฝึกความแม่นยำ ได้ฝึกการคาดคะเน ดังนั้นกีฬากอล์ฟตึกถือเป็นหนึ่งในกีฬาที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุนั่นเอง

2.กีฬาปั่นจักรยาน

ถึงแม้ว่ากีฬาประเภทนี้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นกีฬาที่ ก็ค่อนข้างยาก ที่เราจะลุกไปปั่นจักรยาน แต่รู้หรือไม่ว่ากีฬาประเภทนี้ มันก็ถือเป็นหนึ่งในกีฬาที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่อยากเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย แถมยังเป็นกีฬาที่ทำให้เรานั้นได้ออกไปสูดอากาศที่บริสุทธิ์เข้าปอด และได้ออกกำลังขาเพื่อที่จะได้มีกระดูกที่แข็งแรงนั่นเอง

3.กีฬาปิงปอง

กีฬาประเภทนี้เป็นกีฬาที่มีความโด่งดังมาตั้งแต่สมัยอดีตซึ่งผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะรู้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยกีฬาประเภทนี้เป็นกีฬาในร่มที่จะสามารถทำให้ร่างกายของผู้สูงอายุนั้นโยกไปมา เพื่อเป็นการบริหารร่างกาย แถมยังเป็นกีฬาที่ไม่ต้องออกแรงเยอะแต่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอยู่บ่อยๆก็ถือว่าเป็นกีฬาที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล

bookmark_border3 วิธีลดหน้าท้องสำหรับวัยทอง

รู้หรือไม่ว่าเมื่อเราอายุเริ่มมากขึ้นนั้นสุขภาพร่างกายของเราก็ย่อมเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา สู้เราออกกำลังเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ตั้งแต่อายุยังน้อย จะยิ่งดีต่อร่างกายของเราเมื่อเราอายุเริ่มมากขึ้น เพราะเราอาจจะทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า วัยทองหรือผู้สูงอายุส่วนใหญ่นั้น

เมื่อแก่ตัวไปก็มักที่จะไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายหรือแทบจะไม่ได้ออกกำลังกายจึงอาจทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมสภาพและย่ำแย่ลงตามกาลเวลา

ดังนั้นการดูแลสุขภาพร่างกายเมื่อเราอายุยังน้อยถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม แต่อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่เริ่มเข้าสู่วัยทอง และอยากที่จะหันมาดูแลสุขภาพร่างกายกันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากแต่อย่างใดเพียงแค่เราให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์

รวมไปจนถึงการออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ และแน่นอนว่าวัยทองส่วนใหญ่ก็อยากที่จะมีรูปร่างที่ดี มีหุ่นที่สวย

ถึงแม้ว่าเราจะอายุเยอะแล้วก็ตาม ซึ่งก็สามารถทำได้หากเราให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการลดหน้าท้องเพราะไม่ว่าใครก็ไม่อยากมีไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องกันทั้งนั้น ฉะนั้น วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ  3 วิธีลดหน้าท้องสำหรับวัยทอง

ซึ่งรับรองได้เลยว่า หากเราทำเป็นประจำนั่นจะทำให้ไขมันบริเวณหน้าท้องของเราลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เครื่องช่วยฟังตัดเสียงรบกวน   จะมีวิธีไหนกันบ้างไปดูกันเลย

  • ท่า SINGLE LEG DROPS

รู้หรือไม่ว่าการออกกำลังกายในท่านี้ถือเป็นหนึ่งในท่าที่จะช่วยให้พุงยุบและช่วยลดไขมันบริเวณหน้าท้องได้เป็นอย่างดีสำหรับวัยทอง เพราะเป็นธาตุที่มุ่งเน้นไปที่ การทำให้หน้าท้องของเรานั้นดูแน่นขึ้น สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่แกนกลางได้เป็นอย่างดี ยิ่งถ้าทำท่านี้เป็นประจำจะสามารถลดไขมันบริเวณหน้าท้องได้เป็นอย่างดี

  • ท่า LEG RAISES

เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในท่าออกกำลังกายอีกท่านหนึ่งที่วัยทองนั้นไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด เพราะท่าออกกำลังกายท่านี้ถือเป็นหนึ่งในท่าที่สามารถลดไขมันบริเวณหน้าท้องได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นท่าที่สามารถทำให้พุงช่วงล่างของเรานั้นเกิดการยุบได้เร็ว และที่สำคัญ หากทำเป็นประจำนั้นจะยิ่งทำให้บริเวณลำตัวของเรามีความแน่นได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

  • ท่า Supine Twist

ท่านี้ ถือเป็นหนึ่งในท่าที่ทำง่ายมากๆเพราะเป็นท่าที่เราแค่จะต้องบิดลำตัวไปมาอย่างช้าๆ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นท่าที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับลำตัวของเราได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นท่าที่สามารถลดหน้าท้อง ทำให้พุงบริเวณหน้าท้องของเราแบนราบได้นั่นเอง

bookmark_borderEILO กับโรคหอบหืดที่เกิดจากการออกกำลังกาย

EILO กับโรคหอบหืด เมื่อออกกำลังกายแบบหักโหม คุณเคยมีอาการหายใจถี่ แน่นหน้าอก หรือหายใจไม่ออกหรือไม่? ตอนนั้นอาจรู้สึกน่ากลัวราวกับหายใจไม่ออก เงื่อนไขสองประการอาจเป็นตัวการ: การอุดตันของกล่องเสียงที่เกิดจากการออกกำลังกาย (EILO) หรือโรคหอบหืดที่เกิดจากการออกกำลังกาย EILO เป็นภาวะที่พบได้น้อย

  • ซึ่งทำให้เกิดอาการคล้ายกับโรคหอบหืดที่เกิดจากการออกกำลังกาย แต่ EILO จะไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบเดียวกัน
  • นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการเข้าใจความแตกต่างและรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ

EILO คืออะไร เมื่อคุณออกกำลังกายอย่างหนัก คุณจะเริ่มหายใจเข้าลึกๆ โดยปกติเมื่อคุณหายใจแรง กล่องเสียง (ทางเดินหายใจส่วนบน) จะเปิดขึ้น ที่ช่วยให้คุณหายใจลึกขึ้น แต่เมื่อคุณมี EILO กล่องเสียงของคุณจะแคบหรือปิดพร้อมกัน ทำให้หายใจได้ไม่เต็มที่ EILO ทำให้หายใจถี่ หายใจมีเสียงดัง

โดยเฉพาะเมื่อหายใจเข้า และแน่นคอ อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและคงอยู่เฉพาะในระหว่างการออกกำลังกายเท่านั้น พวกเขาแก้ไขทันทีเมื่อคุณหยุด โดยประมาณ 5% ถึง 7% ของคนมี EILO พบได้บ่อยในนักกีฬาและมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย

  • โรคหอบหืดที่เกิดจากการออกกำลังกายคืออะไร ภาวะนี้เรียกอีกอย่างว่าภาวะหลอดลมตีบตันจากการออกกำลังกาย (EIB)
  • ซึ่งแตกต่างจากโรคหอบหืดเรื้อรัง อาการหอบหืดเรื้อรังสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยรวมทั้งการแพ้
  • สิ่งกระตุ้นเหล่านี้ทำให้ทางเดินหายใจในปอดของคุณอักเสบและตีบลงเป็นระยะๆ ทำให้หายใจลำบาก

ในโรคหอบหืดที่เกิดจากการออกกำลังกายหรือ EIB ทางเดินของอากาศในปอดของคุณจะแน่นขึ้นอันเป็นผลมาจากการออกกำลังกายอย่างหนัก นั่นทำให้คุณหายใจลำบาก คุณอาจมีอาการหายใจถี่ หายใจมีเสียงหวีด และไอที่คล้ายกับ EILO EIB พบได้บ่อยในผู้ที่เป็นโรคหอบหืดเรื้อรังอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้แต่คนที่ไม่เป็นโรคหอบหืดก็สามารถสัมผัสกับ EIB ได้ ความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่าง EILO และ EIB คืออาการของ EIB อาจแย่ลงเป็นเวลา 10 ถึง 20 นาทีหลังจากที่คุณหยุดออกกำลังกาย อากาศเย็น แห้ง มลภาวะ และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ สามารถกระตุ้น EIB ได้ อย่างไรก็ตาม EILO เกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกายโดยไม่มีปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดอาการ ผู้ป่วยโรคหอบหืดจากการออกกำลังกายมากถึง 30% อาจมี EILO

เงื่อนไขได้รับการวินิจฉัยและปฏิบัติอย่างไร การรักษาจะแตกต่างกันระหว่าง 2 เงื่อนไข ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญมาก EILO ไม่ตอบสนองต่อยา อย่างไรก็ตาม ยาและยาสูดพ่นที่ใช้กันทั่วไปสำหรับโรคหอบหืดสามารถใช้รักษา EIB ได้ อาการ EILO จะเกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกายเท่านั้น

ดังนั้นแพทย์จำเป็นต้องติดตามคุณระหว่างการออกกำลังกายเพื่อทำการวินิจฉัย เขาหรือเธอจะใช้  เครื่องช่วยฟัง    กล้องเพื่อดูทางเดินหายใจส่วนบนของคุณในขณะที่คุณออกกำลังกายอย่างหนัก เช่น วิ่งบนลู่วิ่งหรือขี่จักรยานอยู่กับที่ การทดสอบนี้เรียกว่าการประเมินกล่องเสียงอย่างต่อเนื่อง (CLE) การดูว่าทางเดินหายใจ

ส่วนบนแคบลงหรือไม่ แพทย์ของคุณสามารถวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ แพทย์ของคุณอาจทำการทดสอบอื่น ๆ เช่น spirometry (การทดสอบการทำงานของปอด) หรือการทดสอบการสูดดม (เมทาโคลีน) เพื่อแยกแยะโรคหอบหืดเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคหอบหืดและ EILO แต่ EILO เป็นอาการที่ต่างออกไป

ซึ่งส่งผลต่อส่วนต่าง ๆ ของทางเดินหายใจของคุณมากกว่าโรคหอบหืด โรคหอบหืดส่งผลต่อทางเดินหายใจส่วนล่าง ในขณะที่ EILO ส่งผลต่อทางเดินหายใจส่วนบน อาการหอบหืดควรแก้ไขด้วยยาขยายหลอดลมหรือยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นสูด คุณอาจต้องการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ หากคุณได้รับการรักษา EIB แต่ยังมีอาการระหว่างออกกำลังกาย

การรักษา EILO เกี่ยวข้องกับการฝึกหายใจเพื่อฝึกทางเดินหายใจส่วนบนของคุณให้เปิดอยู่และปรับอัตราการหายใจของคุณระหว่างออกกำลังกาย การหายใจลำบากเมื่อคุณออกกำลังกายนั้นน่ากลัว มันอาจทำให้คุณลังเลที่จะออกกำลังกายหรืออาจทำให้คุณบรรลุสมรรถภาพทางกีฬาสูงสุดได้ยากขึ้น

คุณควรปรึกษาแพทย์หากคุณมีปัญหาในการหายใจขณะออกกำลังกาย แพทย์อาจส่งตัวคุณไปหาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมักจะเป็นแพทย์ระบบทางเดินหายใจ แพทย์หู คอ จมูก หรือแพทย์โรคหัวใจ เพื่อตรวจและรักษา

bookmark_borderการรับประทานอาหารเมดิเตอร์เรเนียนอาจลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม

การศึกษาอ้าง นักวิจัยอ้างว่าการรับประทานอาหารเมดิเตอร์เรเนียนแบบดั้งเดิมอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้เกือบหนึ่งในสี่ อาหารเมดิเตอร์เรเนียนแบบดั้งเดิมเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยอาหารทะเล ผลไม้ และถั่ว อย่างไรก็ตาม นักวิจัยพบว่าอาจช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้เกือบหนึ่งในสี่

การรับประทานอาหารเมดิเตอร์เรเนียน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลพบว่าบุคคลที่รับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารดังกล่าวถึง 23 เปอร์เซ็นต์

เผยแพร่ใน BMC Medicine นักวิจัยกล่าวว่านี่เป็นหนึ่งในการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในประเภทนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ซึ่ง “จำกัดเฉพาะกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กและจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมต่ำ เพื่อดำเนินการตรวจสอบ ผู้เขียนการศึกษาได้วิเคราะห์ข้อมูลจากบุคคล 60,298 คนจาก UK Biobank

ซึ่งได้เสร็จสิ้นการประเมินอาหารแล้ว จากนั้นผู้เขียนศึกษาให้คะแนนบุคคลโดยพิจารณาว่าอาหารของพวกเขาตรงกับลักษณะสำคัญของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนมากน้อยเพียงใด ผู้เข้าร่วมได้รับการติดตามมาเกือบทศวรรษ ในช่วงเวลาดังกล่าวมีรายงานผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม 882 ราย

ในการถอดรหัสความเสี่ยงทางพันธุกรรมของแต่ละคนต่อภาวะสมองเสื่อม นักวิจัยได้คำนวณความเสี่ยงจากพันธุกรรม

(การวัดยีนที่แตกต่างกันทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม) Oliver Shannon อาจารย์ประจำสาขาโภชนาการมนุษย์และการสูงวัยแห่งมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลให้ความเห็นเกี่ยวกับความชุกของโรคสมองเสื่อมในโลกปัจจุบันว่า “ภาวะสมองเสื่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก

และปัจจุบันมีตัวเลือกที่จำกัดสำหรับการรักษาภาวะนี้ “การหาวิธีลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับนักวิจัยและแพทย์

การศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่าการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนมากขึ้นอาจเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่  เครื่องช่วยฟัง    จะช่วยให้แต่ละคนลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมได้” แชนนอนเน้นย้ำ โดยรวมแล้ว ผู้เขียนพบว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญระหว่างความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมแบบโพลีเจนิกและความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานอาหารเมดิเตอร์เรเนียน

พวกเขาอ้างว่า “สิ่งนี้อาจบ่งชี้ว่าแม้สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูง การรับประทานอาหารที่ดีขึ้นก็สามารถลดโอกาสในการเกิดภาวะนี้ได้” อย่างไรก็ตาม การค้นพบนี้ไม่สอดคล้องกันในการวิเคราะห์ทั้งหมด และผู้เขียนได้กล่าวว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประเมินปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาหารและพันธุกรรมต่อความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม

“ข่าวดีจากการศึกษานี้คือ แม้สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูง การรับประทานอาหารที่ดีขึ้นก็ช่วยลดโอกาสในการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้”

John Mathers ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการมนุษย์แห่งมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลกล่าว “แม้ว่าจะจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมในพื้นที่นี้ แต่สิ่งนี้ช่วยเสริมข้อความด้านสาธารณสุขว่าเราทุกคนสามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมได้ด้วยการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนมากขึ้น” Mathers กล่าวสรุป

bookmark_borderOzempic Face มันคืออะไรและคุณทำอะไรได้บ้าง

Ozempic Face มันคืออะไร ยา Ozempic อาจทำให้ไขมันบนใบหน้าสูญเสียไป และสำหรับบางคนจะส่งผลให้ดูแก่ก่อนวัย มีริ้วรอย หรือที่เรียกว่า ‘Ozempic face’ ความเสี่ยงของการใช้ยานี้ ได้แก่ ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ผื่นคัน และอาการคัน

เมื่อคุณหยุดรับประทาน Ozempic น้ำหนักจะกลับมาเพิ่มได้ แม้ว่า Ozempic เป็นยาสำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2

ซึ่งกำหนดให้ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากที่ใช้ยานี้เพราะความสามารถในการส่งเสริมการลดน้ำหนัก เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้รับความสนใจจากสื่อ แฮชแท็ก “Ozempic” มีผู้เข้าชม 450 ล้านครั้งบน TikTok

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในรายงานผลข้างเคียงของผู้ใช้คือ ‘Ozempic face’ คำว่า ใบหน้า Ozempic’ หมายถึงรอยย่นหรือโพรงที่เพิ่มขึ้นของใบหน้าเมื่อผู้คนลดน้ำหนัก เมื่อใช้ยา Ozempic

การสูญเสียปริมาตรของใบหน้าสามารถทำให้ใบหน้าดูเด่นชัดขึ้นและอาจทำให้ดูผอมแห้งได้ “Ozempic ทำงานโดยการเพิ่มฮอร์โมน glucagon-like peptide-1 ที่ทำให้การย่อยอาหารของเราช้าลง

และทำให้เรารู้สึกอิ่ม” ดร.อลิเซีย เชลลี แพทย์อายุรกรรม/โรคอ้วนที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการที่ Wellstar Douglasville Medical Center ในเมือง Douglasville รัฐจอร์เจีย บอก Healthline “สิ่งนี้จะนำไปสู่การกินในปริมาณที่น้อยลงและควบคุมความอยาก”

ยานี้ใช้ทุกสัปดาห์โดยฉีดที่ต้นขาท้องหรือแขน สาเหตุของ ใบหน้า Ozempic’ สาเหตุหลักคือการลดน้ำหนักอย่างมาก Dr. Silvana Obici หัวหน้าแผนกต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึมของ Stony Brook Medicine กล่าวว่า “การสูญเสียเนื้อเยื่อไขมันจากใบหน้าเป็นเรื่องปกติมากกับการลดน้ำหนักใดๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีนัยสำคัญ (15 หรือ > 20% ของน้ำหนักตัว) “ดังนั้นผู้ที่ลดน้ำหนักอาจดูเหี่ยวย่นและแก่กว่าวัย”

วิธีหนึ่งในการต่อสู้กับการสูญเสียความสมบูรณ์คือสารเติมเต็มใบหน้า ตามที่ American Academy of Dermatology Association ฟิลเลอร์มีหลากหลายประเภท โดยบางชนิดอยู่ได้ไม่กี่เดือนและบางชนิดอยู่ถาวร หากคุณพบว่าใบหน้าของคุณหย่อนคล้อยหรือดูผอมแห้งมากขึ้นหลังการลดน้ำหนัก ฟิลเลอร์อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาดังกล่าว

ผลข้างเคียงอื่น ๆ ของ Ozempic อาการทางระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ คลื่นไส้ ท้องร่วง อาเจียน ปวดท้อง และท้องผูก เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของการรักษาตาม GLP-1 Dr. Chris Damman, MD, Gastroenterologist และ Supergut Chief Medical Officer, Clinical Associate Professor of Gastroenterology & Medicine แห่งมหาวิทยาลัย Washington อธิบาย

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณหยุดใช้ Ozempic การเพิ่มน้ำหนักอาจเกิดขึ้นได้หากไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต แนะนำให้ใช้อาหารที่มีตัวกระตุ้น GLP-1 ตามธรรมชาติเป็นไปได้ที่จะเพิ่มน้ำหนักหลังจากหยุด Ozempic กลยุทธ์เสริมเพื่อเพิ่มและรักษาสุขภาพเมตาบอลิซึมนั้นเกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ

ที่มีตัวกระตุ้น GLP-1 ตามธรรมชาติ” ดร. แดมมานกล่าว “ตัวกระตุ้นตามธรรมชาติรวมถึงส่วนประกอบต่างๆ ของอาหารที่บริโภคน้อยเกินไปเนื่องจากการแปรรูปอาหาร เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีต่อสุขภาพ โพแทสเซียม และเส้นใยพรีไบโอติก” Damman กล่าว

นอกจากนี้ หลายคนที่ทานยาที่คล้ายคลึงกันเช่น Wegovy มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรัง ดังนั้นเมื่อหยุดยา คุณสามารถเพิ่มน้ำหนักได้” เชลลี่กล่าว “อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้คนกลับมามีน้ำหนักได้อีกครั้ง”วิธีรักษาน้ำหนักให้แข็งแรง แพทย์ยอมรับว่าอาหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญการเพิ่มอาหารทั้งหมด

และการเสริมอาหารแปรรูปที่มีเส้นใยพรีไบโอติก เช่น แป้งต้านทานและเบต้ากลูแคน แสดงให้เห็นว่าช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารและควบคุมความอยากอาหาร” Damman กล่าว “ปรึกษากับผู้ให้บริการด้านสุขภาพของคุณเพื่อออกแบบแนวทางที่สมบูรณ์เพื่อสุขภาพเมตาบอลิซึม” ยานี้ไม่ใช่กระสุนเงินสำหรับการลดน้ำหนัก

แต่เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่อาจช่วยให้บางคนลดน้ำหนักได้มีวิธีต่างๆ ที่จะช่วยรักษาน้ำหนักของคุณ โดยการรักษานิสัยที่ดีต่อสุขภาพของคุณ (ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์) หลังจากหยุดใช้ยา” ดร. เชลลี่

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟังราคาถูก

bookmark_borderการคุมกำเนิดที่มีปริมาณฮอร์โมนลดลงถึง 92% ยังคงมีประสิทธิภาพ

การคุมกำเนิดที่มีปริมาณฮอร์โมน เมื่อเร็ว ๆ นี้ นักวิจัยได้ตรวจสอบระดับฮอร์โมนในอุปกรณ์คุมกำเนิด เพื่อพิจารณาว่ามีความเป็นไปได้ที่จะลดระดับฮอร์โมนหรือไม่ และยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตกไข่ นักวิทยาศาสตร์ Diliman แห่งมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อพิจารณาว่าพวกเขาสามารถลดปริมาณฮอร์โมนลงได้เท่าใด

ผลการวิจัยพบว่าสามารถลดฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียวได้มากถึง 92% และยังขัดขวางการตกไข่

ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเป็นทางเลือกที่นิยมในการป้องกันการตั้งครรภ์ บางครั้งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งทำให้กลุ่มนักวิจัยในฟิลิปปินส์ค้นพบว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะลดขนาดฮอร์โมนในการคุมกำเนิดและระยะเวลาในการให้ยาในขณะที่รักษาประสิทธิภาพไว้ การศึกษาของพวกเขาซึ่งปรากฏในวารสาร PLOS Computational Biology

แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะลดฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดทั้งแบบฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียวและโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว และยังป้องกันการตกไข่ได้ ฮอร์โมนคุมกำเนิดทำงานอย่างไร แพทย์มักสั่งยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนให้กับผู้ป่วยหญิงที่พยายามป้องกันการตั้งครรภ์

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ในสหรัฐอเมริกา 12.6% ของผู้หญิงอายุ 15 ถึง 49 ปีใช้ยาคุมกำเนิด และ 10.3% ของผู้หญิงใช้ยาคุมกำเนิดแบบย้อนกลับที่ออกฤทธิ์นาน

อุปกรณ์คุมกำเนิดแบบฮอร์โมนทำงานโดยใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ เช่น เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ พวกมันสามารถทำงานได้หลายวิธี รวมถึงหยุดการตกไข่หรือทำให้เยื่อบุมดลูกบางลงจนไข่ที่ฝังไว้ไม่สามารถติดได้ ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนบางประเภท ได้แก่ ยาเม็ดซึ่งอาจเป็นยาเม็ดผสมหรือโปรเจสตินอย่างเดียว ยาฝังที่แขน (Nexplanon) แผ่นแปะคุมกำเนิด (Xulane) และอุปกรณ์ใส่มดลูกหรือห่วงอนามัย (Mirena หรือ Skyla)

นอกจากการสั่งยาคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว บางครั้งแพทย์จะสั่งให้ช่วยผู้ที่มีถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) เพื่อลดขนาดของซีสต์และด้วยเหตุนี้จึงลดความเจ็บปวด หรือในการรักษาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เพื่อช่วยควบคุมความเจ็บปวดและเลือดออกมากเกินไป

ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนอาจมีผลข้างเคียงได้ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงคลื่นไส้ ปวดหัว ตะคริวในช่องท้อง ความดันโลหิตสูง ลิ่มเลือด

นอกจากนี้ ผู้ที่สูบบุหรี่ในขณะที่รับประทานยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก ซึ่งหมายถึงลิ่มเลือดที่ขา ผลข้างเคียงบางอย่างที่ไม่รุนแรงอาจหายไป แต่บุคคลควรหารือเกี่ยวกับผลข้างเคียงกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเพื่อกำหนดวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการดำเนินการ

สิ่งที่ศึกษาออกไปเพื่อค้นหา นักวิจัยที่ดำเนินการศึกษาในปัจจุบันต้องการขยายการวิจัยการคุมกำเนิดก่อนหน้านี้ และวิเคราะห์ว่าปริมาณฮอร์โมนที่ลดลงยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์หรือไม่ พวกเขาไม่เพียงแต่พิจารณาลดปริมาณฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดเท่านั้น

แต่พวกเขายังตั้งทฤษฎีว่าสามารถปรับระยะเวลาของปริมาณต่างๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดวัตถุประสงค์คือเพื่อระบุกลยุทธ์เพื่อทำความเข้าใจว่าเมื่อใดและควรให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนและ/หรือโปรเจสเตอโรนมากเพียงใดเพื่อให้ได้สถานะการคุมกำเนิด” ผู้เขียนเขียนนักวิทยาศาสตร์ศึกษาข้อมูลจากผู้เข้าร่วมหญิง 23 คนอายุระหว่าง 20 ถึง 34 ปี

นักวิจัยระบุว่าผู้เข้าร่วมมีรอบเดือนปกติซึ่งกินเวลาตั้งแต่ 25 ถึง 35 วัน พวกเขาเรียกใช้ข้อมูลในสองแบบจำลอง: แบบจำลองต่อมใต้สมองและแบบจำลองรังไข่

ต่อมใต้สมองเป็นส่วนหนึ่งของระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งควบคุมฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการตกไข่ ด้วยแบบจำลองต่อมใต้สมอง

พวกเขาวิเคราะห์ช่วงเวลาของการปล่อยฮอร์โมนการตกไข่และระดับฮอร์โมน ด้วยแบบจำลองคอมพิวเตอร์รังไข่ นักวิทยาศาสตร์มองว่ารังไข่ตอบสนองต่อฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาอย่างไร นอกจากนี้ นักวิจัยยังใช้แบบจำลองเพื่อดูว่าระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในระดับต่างๆ ส่งผลต่อรอบเดือนอย่างไร

 

ได้รับการสนับสนุนจาก  เครื่องช่วยฟัง

bookmark_borderมาทำความรู้จักกับโรคความจำเสื่อม โรคที่มาพร้อมกับอายุที่มากขึ้น

โรคความจำเสื่อม ความจำเสื่อมเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อการทำงานของสมองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป ซึ่งสาเหตุของความจำเสื่อมสามารถมีหลายปัจจัยได้แก่

1.อายุ: ความจำเสื่อมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ เนื่องจากสมองจะเสื่อมสภาพลงตามอายุ

2.โรคเบาหวาน: โรคเบาหวานสามารถทำลายเส้นเลือดและเนื้อเยื่อในสมองได้ ทำให้เกิดความจำเสื่อมได้

3.โรคอัลไซเมอร์: โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่ทำลายเนื้อเยื่อในสมอง ทำให้เกิดความจำเสื่อมได้

4.การใช้ยาหรือสารเคมี: การใช้ยาหรือสารเคมีบางชนิดอาจทำลายเซลล์สมองและทำให้เกิดความจำเสื่อมได้

5.พฤติกรรมการดื่มสุรา: การดื่มสุราเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสียหายในสมองและทำให้เกิดความจำเสื่อมได้

6.ความเครียดและภาวะซึมเศร้า: ความเครียดและภาวะซึมเศร้าสามารถเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความจำเสื่อมได้

ความเป็นไปได้ที่จะหายจากโรคความจำเสื่อมขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรคนั้นๆ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการรักษาที่สามารถเข้าไปแก้ไขหรือฟื้นฟูความเสียหายในสมองที่เกิดจากโรคความจำเสื่อมได้อย่างสมบูรณ์ โดยทั่วไปแล้ว การรักษาโรคความจำเสื่อมจะเน้นไปที่การควบคุมอาการเฉพาะบางอย่างเท่าที่จะทำได้ หรือเรียกว่ารักษาตามเวลา

การดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความจำเสื่อม หรือช่วยลดความรุนแรงของโรคในระยะที่อาการยังไม่มากขนาดนั้น ดังนั้น การดูแลสุขภาพร่างกายและสมองอย่างเหมาะสม และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารเพียงพอ

และการฝึกความคิด อ่านหนังสือ แก้ไขปริศนา หรือเล่นเกมที่ต้องใช้ความคิด อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพสมองและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความจำเสื่อมได้

ยังไม่มียาที่ช่วยรักษาโรคความจำเสื่อมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่มีการใช้ยาบางชนิดที่ช่วยควบคุมอาการและช่วยลดอาการผิดปกติของสมองที่เกิดจากโรคความจำเสื่อมได้ ยาเหล่านี้มักจะช่วยลดอาการสับสน ความสับสนในการพูดคุย ความวิงเวียนหรือความเข้าใจผิดของสิ่งต่างๆ

อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ป่วยมีอารมณ์เป็นบวกและเพิ่มพูนความคิดบวก อย่างไรก็ตาม การใช้ยาจะต้องพิจารณาความเหมาะสมกับผู้ป่วยและเภสัชกรหรือแพทย์จะต้องแนะนำการใช้ยาและการติดตามผลการใช้ยาอย่างใกล้ชิดเสมอ ดังนั้น หากมีอาการของโรคความจำเสื่อม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมในแต่ละกรณีและสามารถรักษาตามแนวทางที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ได้

โรคความจำเสื่อมส่วนใหญ่พบได้ในผู้สูงอายุ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในช่วงอายุที่มากขึ้นจะต้องเป็นโรคความจำเสื่อม ความจำเสื่อมอาจเกิดขึ้นกับบางคนในช่วงอายุก่อนเกษียณ หรือยังเป็นเด็กแล้วก็เป็นได้ แต่มักเกิดพบได้มากขึ้นในผู้สูงอายุ พวกเขามักจะมีความจำเสื่อมเริ่มต้นด้วยการลืมเล็กน้อย อาจลืมชื่อของบุคคลที่รู้จักและสิ่งของบ้าง

แต่ความจำเสื่อมเรื่อยๆ จะก้าวขึ้นไปจนกระทั่งลืมสิ่งที่สำคัญ เช่น การทำงานประจำวัน สถานที่และทิศทางที่รู้จัก และผู้ที่สำคัญในชีวิตของตน เป็นต้น ดังนั้น การดูแลสุขภาพที่ดีและการรักษาสมองให้แข็งแรงสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความจำเสื่อมได้

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย  ถ่านเครื่องช่วยฟัง