bookmark_border7 วิธีดูแลสุขภาพกายและใจในยุคที่ชีวิตเร่งรีบ

ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างมีชีวิตที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยความเร่งรีบ การดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 7 วิธีง่ายๆ ที่สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงและสมดุลได้ แม้ในวันที่ยุ่งที่สุด

1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าที่สมดุล

อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดที่ช่วยเติมพลังให้กับร่างกายและสมอง การเลือกอาหารเช้าที่มีสารอาหารครบถ้วน เช่น ข้าวโอ๊ต โยเกิร์ต ผลไม้ หรือไข่ต้ม จะช่วยให้คุณมีพลังงานเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แม้เพียงวันละ 15 นาที

การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากมาย เพียงแค่เดินเร็ว วิ่งเบาๆ หรือทำโยคะที่บ้าน วันละ 15-30 นาที ก็เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ลดความเครียด และเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำมากกว่า 60% การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วหรือประมาณ 2 ลิตร ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย บำรุงผิวพรรณ และลดความเสี่ยงจากอาการขาดน้ำที่อาจทำให้เกิดความเมื่อยล้า

4. จัดการความเครียดด้วยการหายใจลึก

ความเครียดเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงได้ยากในชีวิตประจำวัน การใช้เวลาเพียง 5 นาที หายใจลึกๆ อย่างมีสมาธิจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและสามารถกลับมามีสมาธิกับงานหรือกิจกรรมต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

5. พักสายตาจากหน้าจอ

การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความเมื่อยล้าของดวงตา ควรพักสายตาทุกๆ 20 นาที ด้วยการมองไปที่ระยะไกลหรือหลับตาเพื่อพักผ่อนประมาณ 20 วินาที

6. นอนหลับให้เพียงพอ

การนอนหลับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ร่างกายได้ฟื้นฟูและซ่อมแซม การนอนหลับให้เพียงพอวันละ 7-8 ชั่วโมงจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

7. สร้างความสุขด้วยกิจกรรมที่รัก

ในแต่ละวัน ควรหากิจกรรมที่ทำให้คุณรู้สึกมีความสุข เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือใช้เวลาอยู่กับครอบครัว สิ่งเหล่านี้จะช่วยเติมพลังใจและทำให้คุณรู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง

สรุป

การดูแลสุขภาพกายและใจไม่จำเป็นต้องใช้เวลาและเงินทองมากมาย เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน คุณก็สามารถมีสุขภาพที่ดีและพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายในชีวิตประจำวันได้

bookmark_borderทานโปรตีนให้หลากหลาย กินอิ่มผอมไวมาก ระบบเผาผลาญดี

คำว่า “ทานโปรตีนให้หลากหลาย กินอิ่มผอมไวมาก ระบบเผาผลาญดี” หมายถึงการเน้นการบริโภคโปรตีนจากแหล่งที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ส่งผลให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น

ซึ่งสามารถช่วยในการลดน้ำหนักและเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น โดยการรับประทานโปรตีนจากแหล่งอาหารที่หลากหลายมีความสำคัญในหลายด้านดังนี้

  1. โปรตีนจากแหล่งอาหารที่หลากหลาย

การบริโภคโปรตีนให้หลากหลายหมายถึงการเลือกทานโปรตีนจากทั้งแหล่งที่มาจากสัตว์และพืช เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม ถั่ว เมล็ดพืช และธัญพืช การรับประทานโปรตีนจากหลายแหล่งจะช่วยให้ร่างกายได้รับกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน เพราะโปรตีนแต่ละชนิดมีคุณค่าทางอาหารที่ต่างกัน การเลือกทานหลากหลายจะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด

 

  1. โปรตีนช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ

โปรตีนเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ กระดูก และผิวหนัง เมื่อร่างกายได้รับโปรตีนเพียงพอและหลากหลาย จะส่งผลให้การเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานโปรตีนให้พอเหมาะจะช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวได้ดี

 

  1. กินอิ่มแต่ไม่เพิ่มน้ำหนัก

การทานโปรตีนเป็นวิธีที่ดีในการควบคุมความหิว เพราะโปรตีนช่วยให้รู้สึกอิ่มนานกว่าคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทานโปรตีนเพียงพอและมีความหลากหลายจึงช่วยลดการทานอาหารว่างที่มีแคลอรีสูง ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำหนักลดลงได้อย่างรวดเร็ว หากเปรียบเทียบกับการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง โปรตีนจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ไม่หิวบ่อย

 

  1. ระบบเผาผลาญดีขึ้น

โปรตีนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นระบบเผาผลาญ การทานโปรตีนที่เพียงพอและหลากหลายจะช่วยเพิ่มกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย เนื่องจากร่างกายต้องใช้พลังงานมากในการย่อยและดูดซึมโปรตีนมากกว่าคาร์โบไฮเดรตและไขมัน กระบวนการนี้เรียกว่า *Thermic Effect of Food* (TEF) ซึ่งจะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น

 

  1. เสริมสร้างสุขภาพโดยรวม

การทานโปรตีนจากแหล่งที่หลากหลายไม่เพียงแต่ช่วยในการลดน้ำหนักและเสริมสร้างกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม โปรตีนมีส่วนในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงเส้นผม ผิวหนัง และเล็บ ให้แข็งแรงและดูมีสุขภาพดี

 

  1. แหล่งโปรตีนที่แนะนำ   ตัวอย่างแหล่งโปรตีนที่ควรเพิ่มในการรับประทานประจำวัน ได้แก่:

– เนื้อสัตว์ไร้ไขมัน เช่น ไก่ ปลา และเนื้อวัวที่ปราศจากไขมัน

– ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมไขมันต่ำ โยเกิร์ต

– ไข่ ที่เป็นแหล่งโปรตีนสมบูรณ์

– ถั่วและธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง อัลมอนด์ และควินัว

– พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา

การ “ทานโปรตีนให้หลากหลาย” เป็นการส่งเสริมให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นจากโปรตีนครบถ้วน ทั้งนี้จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ ลดความหิว ทำให้อิ่มนาน และช่วยให้ระบบร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    Hoiana Casino

bookmark_borderการช็อปปิ้งกับการบำบัดโรคเครียด

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินกับคำกล่าวที่ว่า หากเกิดความเครียดเมื่อไหร่วิธีคลายเครียดที่ดี นั้นก็คือการช็อปปิ้ง ซึ่งคำกล่าวนี้ส่วนใหญ่แล้วคนที่ปฎิบัตินั้นก็คือบรรดาสาวๆนั่นเอง เรามาดูกันว่า หากเราป่วยเป็นโรคเครียด หรือว่าเรามมีความเครียดการที่เราออกไปช็อปปิ้งนั้นมันจะสามารถช่วยบำบัดให้เราได้จริงหรือไม่ และการเลือกที่จะช็อปปปิ้งเพื่อให้ตัวเองหายเครียดนั้น ดีแค่ไหน 

สำหรับใครที่เลือกจะบำบัดความเครียดของตัวเองด้วยการออกไปช็อปปิ้งนั้น อันที่จริงแล้วการช็อปปิ้งสามารถช่วยบำบัดความเครียดได้จริงๆ แต่ก็ใช้ได้เฉพาะในบางกรณีเท่านั้น เพราะการเลือกบำบัดความเครียดด้วยการช็อปปิ้งนี้คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณจะต้องเป็นคนที่มีปัจจัยด้านการเงินสูง และสามารถใช้จ่ายมันได้อย่างฟุ่มเฟื่อย เพราะว่าการเลือกบำบัดความเครียดด้วยการช็อปนั้น มันมีทั้งด้านบวกและด้านลบ 

ด้านบวกของการช็อปปิ้งเพื่อบำบัดความเครียด:

  1. การเพิ่มความรู้สึกของการควบคุม: การเลือกซื้อสินค้าสามารถทำให้เรารู้สึกว่ามีการควบคุมชีวิตของเราได้ดีขึ้น ซึ่งสามารถช่วยลดความเครียดได้
  2. การเบี่ยงเบนความสนใจ: การช็อปปิ้งสามารถช่วยให้เราลืมความกังวลหรือความเครียดในชีวิตประจำวันได้
  3. การเติมเต็มความต้องการทางอารมณ์: การได้สิ่งใหม่ ๆ หรือของที่เราต้องการมานานสามารถทำให้เรารู้สึกมีความสุขและพอใจ

 

ด้านลบของการช็อปปิ้งเพื่อบำบัดความเครียด:

  1. ปัญหาการเงิน:หากช็อปปิ้งเกินกว่าที่ควรหรือซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นอาจนำไปสู่ปัญหาการเงินได้ ซึ่งจะสร้างความเครียดเพิ่มเติมในระยะยาว
  2. *พฤติกรรมการช็อปปิ้งแบบติด: การพึ่งพาการช็อปปิ้งเพื่อบำบัดความเครียดอาจกลายเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิตในระยะยาว
  3. ความรู้สึกผิด: บางครั้งการช็อปปิ้งเพื่อบำบัดความเครียดอาจทำให้เรารู้สึกผิดหรือเสียใจหลังจากที่ซื้อสินค้าแล้ว

 

 ข้อแนะนำในการช็อปปิ้งเพื่อบำบัดความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ:

– ตั้งงบประมาณ: กำหนดงบประมาณที่เหมาะสมสำหรับการช็อปปิ้งเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเงิน

– ช็อปปิ้งอย่างมีสติ: พิจารณาให้ดีว่าของที่ต้องการซื้อนั้นมีความจำเป็นหรือไม่

– หากิจกรรมอื่น ๆ: ลองหากิจกรรมอื่น ๆ ที่ช่วยบำบัดความเครียดได้ เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือการพบปะกับเพื่อนฝูง

 

การช็อปปิ้งสามารถเป็นวิธีหนึ่งในการบำบัดความเครียดได้ แต่ควรใช้วิธีนี้อย่างมีสติและรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในทางลบในระยะยาว อย่างไรก็ตามการช็อปปิ้งถ้าจะให้สนุกสนานคลายเครียดได้ดีแล้ว การเลือกเพื่อนไปช็อปปิ้งเป็นเพื่อนเราก็จะเป็นตัวสนับสนุนที่จะทำให้การช็อปปิ้งเพื่อการบำบัดได้ผลดียิ่งขึ้นอีกด้วย

 

สนับสนุนโดย    ถ่านเครื่องช่วยฟัง

bookmark_borderวิธีการดูแลอาการป่วยของเด็กเบื้องต้น โดยที่ไม่ต้องไปโรงพยาบาล

การเจ็บไข้ได้ป่วย มักจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่อาการเจ็บไข้ได้ป่วยมีอาการหลายระดับ เช่น เจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย หรือเจ็บป่วยหนักมาก ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำการดูแลเด็กๆที่เจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเราไม่จำเป็นที่จะต้องส่งลูกไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่เราสามารถปฐมพยาบาลลูกเราและรักษาให้หายได้ด้วยตัวเองได้ 

การดูแลเด็กเบื้องต้นเมื่อไม่ต้องการพาเด็กไปโรงพยาบาลนั้นสามารถทำได้ดังนี้:

  1. การตรวจสอบอาการ: สำหรับเด็กที่มีอาการป่วยหรือบาดเจ็บเบา ควรตรวจสอบอาการโดยละเอียด เช่น ไข้, ปวด, แผล, สิว, และอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินความรุนแรงของอาการ
  2. การให้การรักษาเบื้องต้น: 

   – ไข้: ให้ยาลดไข้ที่เหมาะสมตามอายุ

   – แผลเบา: ใช้สารฆ่าเชื้อและผ้าก๊อซที่สะอาดเพื่อทำความสะอาดแผล

  1. การให้น้ำ: สำหรับเด็กที่มีอาการขาดน้ำหรือมีไข้สูง ควรให้น้ำมากพอควร เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  2. การให้พักผ่อน: หากเด็กมีไข้หรืออาการไม่สบาย ให้พักผ่อนให้มากพอควร เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนและฟื้นตัว
  3. การติดตามอาการ: ติดตามอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด หากมีอาการที่แย่ลงหรือไม่ดีขึ้น ควรพิจารณาพาเด็กไปพบแพทย์โดยด่วน
  4. การให้คำแนะนำ: ให้คำแนะนำเพื่อความสะดวกในการดูแลเบื้องต้น เช่น การดูแลอาหาร, การสังเกตอาการที่ควรจะพาเด็กไปพบแพทย์, หรือการรักษาอาการบ้านๆ ที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม หากเด็กมีอาการรุนแรงหรือไม่แน่ใจว่าจะดูแลได้เองหรือไม่ ควรพาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยและการรักษาที่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาอาการป่วยที่บ้านได้นั้นจะต้องมียาติดบ้าน ซึ่งเรามักจะเรียกว่ายาสามัญประจำบ้าน โดยสำหรับเด็กมีความสำคัญมาก เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยที่พบบ่อยในเด็กได้ง่ายๆ และเป็นที่นิยมของพ่อแม่ในการดูแลสุขภาพของลูก 

การรักษาอาการเจ็บป่วยที่พบบ่อย: เช่น ไข้, ปวดศีรษะ, ปวดท้อง, ไอ, คอเสียงเสีย เป็นต้น ยาสามัญชนิดเหล่านี้ช่วยให้เด็กได้รับการรักษาพื้นฐานในขณะที่รอคอยพบแพทย์หรือเข้ารับการรักษาเพิ่มเติมได้ทันที

สำหรับ    ตรวจสุขภาพ    การเลือกใช้ยาสามัญประจำบ้านสำหรับเด็กนั้นควรจะเลือกยาที่ได้รับการทดสอบและการรับรองจากหน่วยงานทางการแพทย์ว่ามีความปลอดภัยสำหรับการใช้กับเด็กในช่วงอายุที่เหมาะสม  สามารถรักษาอาการที่เกิดขึ้นได้เหมาะสม และมีความเป็นไปได้ที่จะไม่มีผลข้างเคียงหรือมีน้อยเมื่อใช้ตามขนาดที่แนะนำ 

 นอกจากนี้ควรเลือกยาที่มีการจำหน่ายในรูปแบบที่ง่ายต่อการใช้งาน เช่น ในรูปแบบของขนาดที่ใช้งานง่ายสำหรับเด็ก, รสชาติที่เด็กยอมรับได้, และการใช้งานที่ง่ายสำหรับผู้ปกครอง

bookmark_borderโรคที่เรามักเจอในแต่ละฤดู

โรคที่เรามักพบในหน้าฝน

การเปลี่ยนแปลงของฤดูฝนมักเป็นเวลาที่เราต้องระวังเรื่องสุขภาพของเราอย่างมาก หนึ่งในปัญหาที่มักเกิดขึ้นในช่วงนี้คือการเป็นเห็ดเป็นเรื่องที่ควรให้ความสนใจ โรคที่เกี่ยวข้องกับเห็ดมักเกิดจากการเกิดของเชื้อราในสภาพแวดล้อมที่ชื้น ซึ่งเป็นสภาพที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงฝนตก การรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับเห็ดนั้นจำเป็นต้องใช้ยาที่เหมาะสมและรักษาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ โรคที่มักพบในหน้าฝนอีกอย่างหนึ่งคือโรคไข้หวัด ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่ระบาดได้ง่ายในสภาพอากาศที่ชื้น การป้องกันโรคนี้สามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดของร่างกายและการสวมหน้ากากอนามัยในทุกๆ ครั้งที่ออกจากบ้าน

นอกจากนี้ยังมีโรคอื่นๆ เช่น โรคผิวหนัง โรคหวัด หรือโรคทางเดินหายใจ ที่มักเกิดขึ้นในช่วงฝนตก เพื่อป้องกันการเป็นโรคในช่วงนี้ ควรรักษาความสะอาดของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อโรคอยู่

ดังนั้น การระวังและป้องกันโรคที่มักพบในหน้าฝนเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ โดยการรักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งแวดล้อมให้ดี เพื่อป้องกันการเป็นโรคในช่วงเวลานี้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

โรคที่เรามักพบในหน้าร้อน

หน้าร้อนเป็นช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งสามารถสร้างสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น โรคที่มักพบในหน้าร้อนมักเกิดจากการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือจุลินทรีย์ต่างๆ ที่สามารถแพร่กระจายได้ง่ายในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น

หนึ่งในโรคที่พบบ่อยในหน้าร้อนคือ โรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเกิดจากไวรัสที่มีอาการเป็นไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว การป้องกันโรคนี้สามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาด และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลที่ติดเชื้อ

นอกจากนี้ โรคผื่นแดงก็เป็นหนึ่งในโรคที่พบในหน้าร้อนอีกหนึ่งอย่าง โรคนี้มักเกิดจากการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากการทำให้เหงื่อตัน การรักษาโรคผื่นแดงสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดของผิวหนัง และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการอักเสบ

ดังนั้น การรักษาความสะอาดและการป้องกันการติดเชื้อจากเชื้อโรคต่างๆในหน้าร้อนเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่อง

โรคที่เรามักพบในหน้าหนาว

หน้าหนาวเป็นฤดูที่มีอากาศเย็นจัด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ทำให้ร่างกายของเรามีโอกาสที่จะเจอกับโรคต่างๆ ได้มากขึ้น โรคที่พบบ่อยในช่วงหน้าหนาวมีหลายประเภท เช่น หวัด เย็น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือแม้กระทั่งโรคหัด การป้องกันโรคในช่วงหน้าหนาวนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ

โรคหวัดเป็นหนึ่งในโรคที่พบบ่อยในช่วงหน้าหนาว โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ หรือบุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการรักษาความสะอาดของร่างกาย เป็นวิธีที่ช่วยลดโอกาสที่จะเป็นเป็นโรคหวัดในช่วงหน้าหนาว

นอกจากนี้ การใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่น เครื่องทำความร้อน และการอยู่ในที่ที่อบอุ่น เป็นการช่วยลดโอกาสที่จะเป็นโรคหวัดในช่วงหน้าหนาวอีกวิธีหนึ่ง การป้องกันโรคในช่วงหน้าหนาวไม่ยาก แต่ควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรง

ดังนั้น  เครื่องช่วยฟังโรงพยาบาลรัฐ    การระมัดระวังและดูแลสุขภาพในช่วงหน้าหนาวเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจอย่างมาก เพื่อป้องกันโรคที่มักพบในช่วงนี้ โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และรักษาความสะอาดของร่างกาย เป็นวิธีที่ช่วยลดโอกาสที่จะเป็นโรคในช่วงหน้าหนาวอย่างมีประสิทธิภาพ

bookmark_borderการกินหมูดิบเสี่ยงเป็นโรคหูดับ: อาการและผลกระทบ

การบริโภคหมูดิบหรือหมูที่ไม่สุกอย่างเพียงพอเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หนึ่งในโรคที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคหมูดิบคือ “โรคหูดับ” ซึ่งมีชื่อทางการแพทย์ว่า Streptococcus suis ซึ่งเป็นการติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Streptococcus suis (S. suis)

 

suis เป็นแบคทีเรียที่พบได้ในหมูทั้งในรูปแบบของการเป็นพาหะและการติดเชื้อ

เมื่อเรารับประทานหมูดิบที่มีเชื้อ S. suis ปนเปื้อน เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบต่างๆ ซึ่งอาจลามไปสู่เยื่อหุ้มสมอง ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อในหู ส่งผลให้เกิดการสูญเสียการได้ยินอย่างถาวรในบางกรณี

อาการของโรคหูดับที่เกิดจากการติดเชื้อ S. suis มักเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นานหลังจากการติดเชื้อ อาการเบื้องต้นมักจะเป็นอาการไข้สูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และปวดตามกล้ามเนื้อ เมื่อเชื้อเข้าสู่ระบบหู จะทำให้เกิดการอักเสบของหูชั้นใน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหู สูญเสียการได้ยิน หรือหูอื้อ หากไม่รักษาทันเวลา อาการเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นและนำไปสู่การสูญเสียการได้ยินถาวร หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตในบางกรณี

การติดเชื้อ S. suis มีความเสี่ยงสูงในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว การสูญเสียการได้ยินที่เกิดขึ้นจากโรคนี้อาจเป็นถาวร และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก นอกจากนี้ การติดเชื้อยังอาจลามไปยังระบบประสาทและสมอง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อในสมองและเยื่อหุ้มสมอง การติดเชื้อในกระดูก และการติดเชื้อในหัวใจ

การป้องกันที่ดีที่สุดคือ  ประสิทธิภาพการได้ยิน    การหลีกเลี่ยงการบริโภคหมูดิบหรือหมูที่ไม่สุกอย่างเพียงพอ ควรปรุงอาหารให้สุกเต็มที่เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย S. suis และควรระมัดระวังในการจัดการกับหมูดิบ โดยล้างมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำอาหารให้สะอาดหลังจากสัมผัสหมูดิบ การรับประทานอาหารในร้านอาหารที่มีมาตรฐานสุขอนามัยสูงก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยง

หากมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ หรือติดเชื้อที่หูหลังจากการบริโภคหมูดิบ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาโดยด่วน การรักษาโรคหูดับที่เกิดจากการติดเชื้อ S. suis ส่วนใหญ่จะใช้ยาปฏิชีวนะในการควบคุมการติดเชื้อ แต่ในบางกรณีที่รุนแรงอาจต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล และต้องมีการตรวจติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

การบริโภคอาหารที่ปลอดภัยและสุกเต็มที่เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคร้ายแรง เช่น โรคหูดับจากการติดเชื้อ S. suis ดังนั้น ควรให้ความสำคัญกับการปรุงอาหารและการรักษาสุขอนามัยในการบริโภคอาหารทุกครั้งเพื่อสุขภาพที่ดีและป้องกันโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

bookmark_borderการเลือกซื้ออุปกรณ์ตกปลา วิธีการเลือกชุดตีเหยื่อปลอม

สำหรับนักตกปลามือใหม่ แต่ไม่รู้จะจัดชุดตกปลาแบบไหน โดยจะต้องใช้คันเวทเท่าไหร่ รอกแบบไหน โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำถึงการจัดชุดตีเหยื่อปลอม พร้อมทั้งเราจะอธิบาย อย่างละเอียด เพื่อให้นักตกปลามือใหม่ ได้เข้าใจ และสามารถเลือกซื้อได้ถูกต้องและเหมาะสม จะได้ไม่ต้องซื้อไปทิ้งขว้าง สามารถนำไปใช้งานได้จริง และรู้หลักการเลือกซื้ออย่างถูกต้อง โดยวิธีการเลือกจะแบ่งเป็นข้อๆตามนี้

1.งบประมาณในการเลือกซื้อ

 สิ่งสำคัญเป็นอันดับแรกของนักตกปลาทั่วไป จะต้องมีงบประมาณตั้งขึ้นมาก่อน งบที่นี้ก็คือเงินแหละคะ โดยถ้าคุณมีงบราคาไม่เกิน 1,000 บาท หรือจะงบ 2,000 กว่า แล้วแต่กำลัง มันก็ตามเกรดของคันเบ็ด โดยงบไม่ถึงพันมันก็ถือว่าโอเคในราคานี้ก็ไม่เลวถือว่าใช้ได้ หรือว่างบพันกว่าบาทก็ดีขึ้นมาหน่อย

แต่ถ้ามีงบเยอะตั้งแต่สองพันกว่าขึ้นไปมันก็ดีขึ้นไปอีกตามลำดับของงบที่คุณมี ดังนั้นงบที่มีจึงสำคัญถือได้ว่าเป็นสิ่งแรกที่จะต้องเตรียมให้พร้อม แต่ก็ไม่ได้ว่างบหลักพันนะ เพราะถือว่ามันก็ใช้ได้ หรือถ้าคนเล่นเป็นก็สามารถตกปลาได้เยอะเลยแหละ

 

2.ประเภทปลาที่ตก

 คุณจะต้องเลือกคันเบ็ดให้เข้ากับประเภทของปลาเสียก่อน เพราะว่าคุณจำเป็นต้องรู้ว่าคุณนั้นจะไปตกปลาอะไร และประเภทปลาเป็นแบบไหนบ้าง จะเป็นคันเบทหรือว่าคันสปิน เพราะถ้าเราเลือกปลาได้ถูกเราก็จะเลือกคันเบ็ดได้เหมาะสม โดยจะเอาไปใช้กับรอกหยดน้ำ

หรือว่าจะนำไปใช้กับรอกตีเหยื่อปลอมทั่วไป โดยถ้าคุณสามารถที่จะเลือกปลาประเภทไหน ปลาช่อน ปลากะพง ปลาชะโด เป็นต้น ปลาพวกเนี้ย ก็จะมีเบ็ดที่มีขนาดของมันเช่นกัน

 

3.เลือกเหงื่อที่ใช้ และการเลือกสาย PE ที่จะไปตกปลา

 พอเรารู้ว่าคุณเลือกที่จะตกปลาประเภทไหน ต่อไปคุณก็ต้องมาเลือกเหยื่อที่จะใช้กับเวทคัทเบ็ด โดยไม่ว่าจะเป็นคันสปิน หรือคันเบท หรือการเลือกทั่วๆไป โดยปลาที่มีขนาดตัวใหญ่ทั่วๆไป ก็จะมีประมาณเวท 6-12 นี่คือเวทคัน ถือว่าเลือกได้ใกล้เคียง

ถ้าหากเราจะใช้เป็นเหยื่อเบาก้านจะอ่อนหน่อย เวทเหนือขึ้นมานิดก็จะมีเวท 8-16 และ 8-17 ประมาณนี้ที่เอาไว้ใช้สำหรับตีปลาช่อน ถือว่าใช้ได้ดีเลยนะ หรือว่าถ้าคุณจะตกปลากะพง ที่น้ำหนัก 1-3 กิโลถือว่าได้เลย และก็อีกเวทนึงก็คือเวทของคัน 10-20 คันมันจะแข็งขึ้น จะทำให้น้ำหนักของเหยื่อใหญ่ขึ้น เหมาะสำหรับตกปลาชะโดหรือเป็นกะพงไซส์ใหญ่ 7-8 กิโลขึ้น ไปจนถึง 10กว่ากิโล สามารถนำไปเล่นได้เช่นกัน

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    คาสิโนดานัง

bookmark_borderวิธีกำจัดหนู โดยใช้สารที่มีกลิ่นเหม็น 

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งไปมาอยู่บนหลังคาหรือบางครั้งอาจจะได้ยินเสียงร้องจี๊ดๆอยู่บนฝ้าเพดานบ้าน  ซึ่งแน่นอนว่าเสียงนั้นต้องเป็นเสียงของหนูอย่างแน่นอนแต่มันไม่ได้สร้างความรำคาญให้กับเราเฉพาะเสียงร้องและเสียงวิ่งเท่านั้น  แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าบ้านไหนมีหนูมันมักจะมากัดทำลายข้าวของภายในบ้านให้เกิดความเสียหาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหามากัดสายไฟก็จะทำให้ไฟฟ้าช็อตและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านก็จะได้รับความเสียหายไปด้วย

ดังนั้นเชื่อว่าทุกคนนั้นคงจะไม่ชอบหนูกันอย่างแน่นอนในบทความนี้เราจึงจะมาแนะนำวิธีการดีๆที่จะใช้ในการกำจัดหนูมาดูว่าเราจะสามารถใช้วิธีการไหนได้บ้างที่จะขับไล่มันออกจากบ้านไม่ให้มันอาศัยอยู่ในบ้านของเรา 

น้ำมันก๊าด   เชื่อว่าหลายคนคง รู้จักน้ำมันก๊าดและอาจจะเคยใช้ประโยชน์จากน้ำมันก๊าดมาก่อนโดยน้ำมันก๊าดนั้นจะมีลักษณะของน้ำที่มีกลิ่นฉุนเรียกได้ว่าเป็นกลิ่นฉุนที่มีความรุนแรงเป็นอย่างมากเพราะแม้แต่คนที่ได้ยินได้กลิ่นน้ำมันก๊าดนั้นก็ไม่ชอบเช่นเดียวกันซึ่งถ้าหากว่ามีกลิ่นน้ำมันก๊าซมาเข้าจมูกของเรานั้นเราก็จะรู้สึกวิงเวียนศีรษะ

ดังนั้นเมื่อคนยังได้รับผลกระทบต่อกลิ่นของน้ำมันก๊าดที่มีความฉุนอย่างรุนแรงแล้วนับประสาอะไรกับหนูตัวเล็กๆเพราะถ้าหากว่ามันได้กลิ่นของน้ำมันก๊าดมันก็ไม่สามารถที่จะทนความฉุนของกลิ่นน้ำมันก๊าซได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้นถ้าหากว่าเราต้องการขับไล่หนูออกจากบ้านของเราเพียงแค่เราเทน้ำมันก๊าดไปใส่ถ้วยแล้วนำไปวางไว้ใกล้ๆกับรังของมันหรือตรงจุดที่เราคิดว่ามันจะต้องเดินผ่านมาแน่นอนรับรองได้เลยว่าเมื่อหนูได้กินน้ำมันก๊าซมันจะต้องเผ่นหนี

อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่าน้ำมันก๊าซนั้นไม่ใช่เพียงแค่กลิ่นเหม็นเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังอันตรายอีกด้วยดังนั้นควรจะต้องระมัดระวังวางไว้ให้ห่างจากมือเด็กหรือให้ห่างจากไฟเพราะถ้าหากว่าติดไฟไฟอาจจะลุกไหม้บ้านเราได้ 

ลูกเหม็น   หากเราอยากจะกำจัดหนูแต่เราไม่อยากที่จะใช้น้ำมันก๊าดเพราะมันกลิ่นเหม็นมากจนเกินไปแล้วมันอันตรายด้วยนั้นเราเปลี่ยนมาใช้ลูกเหม็นก็ได้เช่นเดียวกันเพราะลูกเหม็นเองก็มีกลิ่นที่ฉุนมากเช่นเดียวกันแต่ว่าจะไม่เท่ากับน้ำมันก๊าด

แต่แน่นอนว่าเมื่อหนูได้กลิ่นของลูกเหม็นนั้นมันก็ไม่พึงพอใจเช่นเดียวกันดังนั้นถ้าหากว่าเรานำลูกเหม็นไปวางไว้ตามจุดต่างๆตามมุมต่างๆที่คาดว่าหนูมันจะวิ่งผ่านเช่นไกลกับถังขยะหรือแม้แต่ส่วนต่างๆในครัวหรือตามมุมต่างๆในบ้านรับรองได้ว่าถ้ามันได้กลิ่นของลูกเหม็นเมื่อไหร่มันจะต้องหนีออกจากบ้านของคุณเช่นกัน

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    สุขภาพหู

bookmark_borderกลไกการเกิดไขมันในร่างกาย

ไขมันในร่างกาย (Fat) เป็นองค์ประกอบสำคัญของร่างกายมนุษย์ มีบทบาทหลายด้านตั้งแต่การเก็บพลังงาน ปกป้องอวัยวะภายใน และเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างเซลล์และเยื่อหุ้มเซลล์ การเกิดไขมันในร่างกายเกิดขึ้นผ่านกระบวนการทางชีวเคมีหลายขั้นตอน โดย  คาสิโนเวียดนาม    สามารถอธิบายกลไกการเกิดไขมันได้ดังนี้:

  1. การบริโภคและการย่อยสลาย

การเกิดไขมันเริ่มต้นจากการบริโภคอาหารที่มีพลังงานส่วนเกิน (excess calories) เมื่อร่างกายได้รับพลังงานจากอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ พลังงานส่วนเกินเหล่านี้จะถูกแปลงเป็นไขมันผ่านกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย 

  1. การแปลงพลังงานเป็นไขมัน (Lipogenesis)

หลังจากที่ร่างกายย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตไปเป็นกลูโคส กลูโคสที่ไม่ได้ถูกใช้จะถูกเปลี่ยนเป็นไกลโคเจนและเก็บไว้ในกล้ามเนื้อและตับ แต่หากมีปริมาณกลูโคสมากเกินไป ร่างกายจะเริ่มกระบวนการที่เรียกว่า “ลิโพเจเนซิส” (Lipogenesis) ซึ่งเป็นกระบวนการแปลงกลูโคสส่วนเกินไปเป็นกรดไขมัน (Fatty Acids)

กรดไขมันที่สร้างขึ้นจากลิโพเจเนซิสจะถูกเอสเตอร์ฟิเคชั่น (Esterification) กับกลีเซอรอล (Glycerol) ทำให้เกิดไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ซึ่งเป็นรูปแบบหลักของไขมันที่เก็บไว้ในร่างกาย ไตรกลีเซอไรด์จะถูกส่งไปเก็บในเนื้อเยื่อไขมัน (Adipose Tissue) ซึ่งส่วนใหญ่พบในบริเวณใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) และรอบ ๆ อวัยวะภายใน (visceral fat)

  1. การสะสมไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน

เนื้อเยื่อไขมันเป็นที่ที่ร่างกายเก็บไตรกลีเซอไรด์ในเซลล์ไขมัน (Adipocytes) เซลล์ไขมันสามารถขยายขนาดขึ้นเพื่อเก็บไขมันได้มากขึ้น นอกจากนี้ เมื่อร่างกายต้องการพลังงาน ไขมันที่สะสมในเซลล์ไขมันจะถูกปล่อยออกมาในรูปของกรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acids) ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “ไลโปลิซิส” (Lipolysis) เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน

  1. การควบคุมการเกิดไขมัน

การเกิดไขมันและการสะสมไขมันในร่างกายถูกควบคุมโดยฮอร์โมนหลายชนิด โดยเฉพาะอินซูลิน (Insulin) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณให้เซลล์ดูดซับกลูโคสและเก็บไว้เป็นไกลโคเจนหรือเปลี่ยนเป็นไขมัน นอกจากนี้ ฮอร์โมนเช่น เลปติน (Leptin) และเกรลิน (Ghrelin) ยังมีบทบาทในการควบคุมความหิวและการบริโภคอาหารอีกด้วย

  1. ผลกระทบของการสะสมไขมันมากเกินไป

การสะสมไขมันในร่างกายมากเกินไปอาจนำไปสู่ภาวะอ้วน (Obesity) ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคไขมันพอกตับ นอกจากนี้ การสะสมไขมันในบริเวณอวัยวะภายในหรือไขมันวิสเซอรัล (Visceral Fat) ยังเป็นอันตรายมากขึ้นเนื่องจากเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคเหล่านี้

กลไกการเกิดไขมันในร่างกายเป็นผลจากการบริโภคพลังงานเกินกว่าความต้องการและการเปลี่ยนแปลงพลังงานส่วนเกินนั้นให้เป็นไขมันผ่านกระบวนการลิโพเจเนซิส และการสะสมไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน การควบคุมการเกิดไขมันถูกกำหนดโดยฮอร์โมนหลายชนิดที่มีบทบาทในการควบคุมความหิวและการสะสมไขมัน การสะสมไขมันมากเกินไปอาจนำไปสู่โรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

bookmark_borderรู้หรือไม่ ทำไมผู้หญิง 40 อัพถึงกลายเป็นคนขี้บ่นขี้หงุดหงิด 

เชื่อว่าหลายคนที่มีคุณแม่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไปมักจะต้องเจอกับภาวะอารมณ์ของคุณแม่ที่มักจะเป็นคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวและขี้หงุดหงิดง่ายอยู่เสมอจากคุณแม่ที่น่ารักดูแลเราอย่างดีในช่วงวัยเด็กกลายมาเป็นคนที่ขี้บ่นมาก  ซึ่งเชื่อว่าหลายคนอาจจะเกิดความสงสัยว่าทำไมผู้หญิงวัย 40 อัพขึ้นไปถึงมีสภาวะอารมณ์เช่นนี้ซึ่งในบทความนี้เราจะมาชี้แจงเกี่ยวกับสภาวะอารมณ์ของผู้หญิงวัย 40 ปีขึ้นไปให้ทราบกัน

สำหรับผู้หญิงที่มีอายุสูงเกิน 40 ปีขึ้นไปนั้นจะเข้าสู่ในวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสภาวะร่างกายโดยมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งร่างกายและทางจิตใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของภาวะร่างกายที่คนอายุ 40 ปีขึ้นไปเพศหญิงนั้นจะมีการหมดประจำเดือนหรือที่เราเรียกกันว่าเข้าสู่ภาวะวัยทองนั่นเอง ซึ่งผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว

จะเริ่มมีอารมณ์ที่แตกต่างจากคนที่มีประจำเดือนเพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของอารมณ์และจิตใจรวมถึงร่างกายอย่างเห็นได้ชัดทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนดังนั้นเราจึงเรียกคนกลุ่มนี้ว่าผู้หญิงวัยทอง 

สำหรับสาเหตุที่สำคัญที่หลังจากหมดประจำเดือนแล้วทำให้ผู้หญิงวัยทองมีอารมณ์ที่แปรปรวนเป็นคนขี้หงุดหงิดง่ายนั่นก็เพราะว่าระดับฮอร์โมนในสมองของผู้หญิงวัยนี้นั้นลดต่ำลงซึ่งก็คือฮอร์โมนเซโรโทนิน

  โดยฮอร์โมนชนิดนี้คุณสมบัตินั้นจะช่วยในเรื่องของการควบคุมทางด้านอารมณ์และการแสดงออกรวมถึงความรู้สึกของคนดังนั้นเมื่อฮอร์โมนชนิดนี้ลดลงก็จะทำให้ไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ได้และทำให้มีอารมณ์ปรวนแปรได้นั่นเอง

สำหรับใครที่กำลังจะอยู่ในวัยทองนั้นจะสังเกตเห็นได้ว่าประจำเดือนที่เคยมาเยอะในแต่ละเดือนนั้นก็จะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ

และหมดไปในที่สุดในขณะเดียวกันก็จะมีอาการวูบๆวาบๆมีอาการร้อนตามร่างกายบางครั้งก็มีอาการหลงลืมง่ายและที่สำคัญมักจะนอนไม่ค่อยหลับทำให้มีความหงุดหงิดบ่อยๆเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอนั่นเอง 

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าผู้หญิง 40 ปีขึ้นไปที่อยู่ในช่วงวัยทองแล้วจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้เพราะหากว่าดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดีก็จะสามารถแก้ไขปัญหาอาการวัยทองได้เช่นเดียวกันซึ่งวิธีการนั้นก็ไม่ใช่วิธีการที่ยากเย็นอะไรเพียงแค่ดูแลเรื่องของอาหารการกินโดยให้สาววัยทองนั้นกินอาหารที่เน้นโปรตีนไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์หรือนมหรือถั่วเหลืองปลาหรือเต้าหู้เป็นต้น

เพราะสารอาหารต่างๆเหล่านี้จะไปช่วยเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนซีโรโทนินได้  นอกจากนี้ควรจะทานอาหารประเภททานยาพืชหรือสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ดีแล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว พยายามนอนให้พอวันละ 6-8 ชั่วโมงหากทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันได้ก็จะช่วยลดอาการวัยทองได้เช่นกัน 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟังราคาเท่าไหร่